Friday, November 14, 2008

สรุปเรื่อง การใช้ used to

สัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเราได้เรียนเรื่อง Used to พอจะสรุปได้ดังนี้
Used to เป็นได้ทั้ง adjective และ verb Used to กับกริยาช่องที่1 แปลว่า เคย
ตัวอย่าง
1.I used to sleep in English class.
ฉันเคยนอนหลับในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ
2.I used to watch television all night. ฉันเคยดูโทรทัศน์ทั้งคืน
Used to เมื่อเป็น adjective แปลว่า ชิน,เคยชิน
ใช้กับ verb to be (is,am,are) หรือคำที่เทียบเท่า verb to be เช่น get , become
คำที่ตามหลัง get used to เป็นคำนามหรือกริยา-ing เช่น
1.The teacher is used to cold weather.
ครูเคยชินกับอากาศหนาว
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของบทเรียนที่พวกเราได้เรียนมาในสัปดาห์ที่ผ่านมา

คำศัพท์สำหรับวันนี้

Sleep = นอนหลับ
All night = ทั้งคืน
Watch television = ดูโทรทัศน์

ผู้เขียน
1.ด.ญ.สินใจ อ่ำกลาง
2.ด.ญ.ประภาพร มุ่งป่ากลาง
นักเรียนชั้น ม.3/4 โรงเรียนขามสะแกแสง

ผู้ฝึกสอน
นาง เพียรผจง เนตระกูล ครู โรงเรียนขามสะแกแสง




Friday, November 7, 2008

บทสรุป Past Simple Tense

Past Simple Tense


โครงสร้าง ประธาน + กริยา ( v2 )
หมายเหตุ : มีกรรมก็ได้ ไม่มีกรรมก็ได้ ขึ้นอยู่กับกริยาที่ใช้

Past Simple Tense จะใช้กับอดีตที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดลงไปแล้ว
เช่น

I ate bananas last two days.( ฉันกินกล้วยเมื่อ 2 วันที่แล้ว )

สิ่งที่จะเป็นตัวบอกเวลาว่า เมื่อไหร่ (กินเมื่อไหร่ ดื่มอะไรเมื่อไหร่) มีดังนี้
1. ago เช่น two days ago , three months ago , ten yeras ago เป็นต้น

ago อ่านว่า อะ - โก หมายถึง ผ่านมาแล้ว

2. last เช่น last month , last two years เป็นต้น

last อ่านว่า ลาซ หมายถึง ที่แล้ว

3. yesterday อ่านว่า เย้ด - เทอร์ - เด


ฉะนั้น เมื่อน้องๆ ต้องการจะใช้ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับอดีต หรือ ที่ผ่านมาแล้ว ก็ควรคำนึงถึง กริยาน่ะค่ะ เพราะอดีตจะต้องใช้กริยาที่ 2 เท่านั้น ดังนั้นน้องๆควรไปศึกษากริยา 3 ช่อง มาให้ดีดีน่ะค่ะ สวัสดีค่ะ




ผู้เขียนบล็อก

นางสาว เพ็ญแข หวังปรุงกลาง

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนขามสะแกแสง

คุณครูผู้สอนเขียนบล็อก

คุณครู เพียรผจง เนตระกูล


Tuesday, September 16, 2008

สรุปเนื้อหาเรื่อง Present Perfect Tense

Present Perfect Tense หมายถึงเหตุการณ์ที่ดำเนินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราใช้ have,has กับกริยาช่องที่3 จะใช้ have,has ขึ้นอยู่กับประธานเช่น I,We,You,They และคำนามพหูพจน์ใช้ have นอกนั้นใช้ has. เช่น




1. He has slept for half an hour.
=เขานอนหลับไปครึ่งชั่วโมงแล้ว.



ผู้เขียน 1.สินใจ อ่ำกลาง
2.ประภาพร มุ่งป่ากลาง
3.จุรีรัตน์ ชาวเสมา
4.ปัสสรณ์ ศรีการ
5.สิริภรณ์ โพธิ์นอก

นักเรียนชั้นม. 3/4 โรงเรียน ขามสะแกแสง
ครูผู้ฝึกสอน ครูเพียรผจง เนตระกูล


























































































































































ภาษาอังกฤษที่พวกเราเรียน

สรุปบทเรียนเรื่องPresent Continuous Tense


วันนี้เราได้เรียนเรื่อง Present Continuous Tense (หมายถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่ผู้พูดกำลังพูดอยู่) มีโครงสร้างประโยคดังนี้
ประธาน+is,am,are+กริยาเติม ing จะใช้ is หรือ am หรือ are ขึ้นอยู่กับประธาน เช่น

He is skating. เขากำลังสเก็ต


He is drinking water. เขากำลังดื่มน้ำ



He is playing basketball. เขากำลังเล่นบาสเก็ตบอล




We are working on computer. เรากำลังทำงานบนคอมพิวเตอร์

ผู้เขียน 1. ด.ญ กรรณิการ์ นามวิบูลย์ ชั้น ม.2/7


2. ด.ญ พัชริษา ปานใหม่ ชั้น ม.2/7

ผู้สอน คุณครู เพียรผจง เนตระกูล
โรงเรียนขามสะแกแสง
สพท.นครราชสีมา เขต 5












































































































































































Friday, August 8, 2008

วันแม่แห่งชาติ ( 12 สิงหาคมของทุกปี )

คำนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบได้ กับทุกสรรพสิ่งในโลก ดังคำขวัญที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้ว่า “แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้” พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนัก หากเอ่ยคำว่า “รัก” ให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง เพราะคุณอาจโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม ่ผ่านภาพและเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า “ลูกรักแม่”



ความเป็นมาของวันแม่
ในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว การเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง
ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็น

ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา

เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย... นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น
ภาษาไทย แม่
ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ mom , mam
ภาษาโซ่ ม๋เปะ
ภาษามุสลิม มะ
ภาษาไทใต้คง เม
เป็นต้น

คำปรารถนาดีจากผู้เขียนบล็อก : วันแม่เป็นวันที่จะต้องระลึกถึงพระคุณของแม่ที่แม่มีให้ต่อเรา วันที่ 12 สิงหาคมซึ่งตรงกับวันแม่แห่งชาติ ลูกๆทุกคนควรจะเข้าไปกราบแม่ให้แม่ชื่นใจด้วยน่ะค่ะ ( สำหรับลูกๆทุกคนที่เห็นว่าวันเกิดของตนเป็นวันเกิดที่สนุกสนาน ลองย้อนกลับไปดูซิค่ะ กว่าเราจะเกิดออกมาได้แม่จะต้องเจ็บปวดมากขนาดไหนกว่าจะเบ่งเราออกมาได้ ฉะนั้น จงคิดว่า วันเกิดเราคล้ายวันตายของแม่ ลูกๆทุกคนควรจะไปกราบแม่กันดีกว่าจะมาเลี้ยงสังสรรค์กันน่ะค่ะ )

ผู้เขียนบล็อก : นางสาว เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง

คุณครูผู้สอนเขียนบล็อก : คุณครูเพียรผจง เนตระกูล

ที่มาของเว็ปไซต์ : http://www.mthai.com/scoop/mother_day/history.php

Saturday, June 14, 2008

ท่านสุนทรภู่กวีศรีสยาม

วันสุนทรภู่ ๒๖ มิถุนายนของทุกปี

วัยเด็ก (พ.ศ.๒๓๒๙ - ๒๓๔๙)
แรกเกิด - อายุ ๒๐ ปี พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร ์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย
สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกัน ฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง ส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงานมีสามีใหม่ และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คน เป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัว เป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก

สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่ม เกิดรักใคร่ชอบพอ กับนางข้าหลวง ในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึง กรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน

เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณ ที่จะมีการ ปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศส่วนพระราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ ชั้นสูงเมื่อเสด็จสวรรคต หรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองแกลงว่า

"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"

แต่เจ้านายท่านใดใช้ไป และไปธุระเรื่องใดไม่ปรากฎ อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วงถึงเดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙

วัยฉกรรจ์ (พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙) อายุ ๒๑ - ๓๐ ปี
หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสองค์เล็ก ของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยา

สุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นาน ก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้อง ตามเสด็จพระองค์เจ้า ปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐
สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนัก ในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอก ทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย

ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไป เพชรบุรี ทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาคในพระราชวังหลัง ดังความตอนหนึ่งในนิราศ เมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลัง สมัยหนุ่ม ว่า

"ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัยมารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนา ท่านการุญ"

รับราชการครั้งที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๕๙ - ๒๓๖๗) อายุ ๓๐ - ๓๘ ปี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นมหากวีและทรงสนพระทัยเรื่องการละครเป็นอย่างยิ่ง ในรัชสมัยของ พระองค์ ได้กวดขันการฝึกหัดวิธีรำจนได้ที่ เป็นแบบอย่างของละครรำมาตราบทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละคร ขึ้นใหม่อีกถึง ๗ เรื่อง มีเรื่องอิเหนาและเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น

มูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการ น่าจะเนื่องมาจากเรื่องละครนี้เอง ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีทอดบัตรสนเท่ห์ เพราะจากกรณี บัตรสนเท่ห์นั้น คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกประหารชีวิตถึง ๑๐ คน แม้แต่ นายแหโขลน คนซื้อกระดาษดินสอ ก็ยังถูกประหารชีวิต ด้วย มีหรือสุนทรภู่จะรอดชีวิตมาได้ นอกจากนี้ สุนทรภู่เป็นแต่เพียงไพร่ มีชีวิตอยู่นอกวังหลวง ช่วงอายุก่อนหน้านี้ก็วนเวียน และเวียนใจอยู่กับเรื่องความรัก ที่ไหนจะมี เวลามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
อีกคราวหนึ่งเมื่อทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกสิบขุนสิบรถ ทรงพระราชนิพนธ์บทชมรถทศกัณฐ์ว่า
"รถที่นั่ง บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน
กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาล ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน
ดุมวงกงหันเป็นควันคว้าง เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน
สารถีขี่ขับเข้าดงแดน พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุณ"
ทรงพระราชนิพนธ์มาได้เพียงนี้ ทรงนึกความที่จะต่อไปอย่างไรให้สมกับที่รถใหญ่โตปานนั้นก็นึกไม่ออก จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ สุนทรภู่แต่งต่อว่า
"นทีตีฟองนองระลอก กระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น
เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน อนนต์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน
ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท สุธาวาสไหวหวั่นลั่นเลื่อน
บดบังสุริยันตะวันเดือน คลาดเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา"
กลอนบทนี้เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยิ่งนัก นับแต่นั้นก็นับสุนทรภู่เป็นกวีที่ปรึกษาด้วยอีกคนหนึ่ง ทรงตั้งเป็นที่ขุนสุนทรโวหาร พระราชทานที่ให้ปลูกเรือนที่ท่าช้าง และให้มีตำแหน่งเฝ้าฯ เป็นนิจ แม้เวลาเสด็จประพาสก็โปรดฯ ให้สุนทรภู่ลงเรือพระที่นั่งไปด้วย เป็นพนักงานอ่านเขียนในเวลาทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน

ผลงานบางส่วนของสุนทรภู่


นิราศ
๑. นิราศเมืองแกลง แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๕๐ ตอนต้นปี
๒. นิราศพระบาท แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๕๐ ตอนปลายปี
๓. นิราศภูเขาทอง แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๗๑
๔. นิราศเมืองสุพรรณ (โคลง) แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๘๔
๕. นิราศวัดเจ้าฟ้า ฯ แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๗๕
๖. นิราศอิเหนา
๗. นิราศพระแท่นดงรัง
๘. นิราศพระประธม
๙. นิราศเมืองเพชร แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๓๙๒
นิทาน
๑. เรื่องโคบุตร แต่งในราวรัชกาลที่ ๑
๒. เรื่องพระอภัยมณี แต่งในราวรัชกาลที่ ๒-๓
๓. เรื่องพระไชยสุริยา แต่งในราวรัชกาลที่ ๓
๔. เรื่องลักษณวงศ์ (มีสำนวนผู้อื่นแต่งต่อ และไม่ทราบเวลาแต่ง)
๕. เรื่องสิงหไตรภพ แต่งในราวรัชกาลที่ ๒
สุภาษิต
๑. สวัสดิรักษา แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๔
๒. เพลงยาวถวายโอวาท แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๗๓
๓. สุภาษิตสอนหญิง แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๐-๒๓๘๓
บทละคร
๑. เรื่องอภัยณุราช
บทเสภา
๑. เรื่องขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงาม แต่งในรัชกาลที่ ๒
๒. เรื่องพระราชพงศาวดาร แต่งในรัชกาลที่ ๔
บทเห่กล่อม
๑. เห่เรื่องจับระบำ
๒. เห่เรื่องกากี
๓. เห่เรื่องพระอภัยมณี
๔. เห่เรื่องโคบุตร
รวมวรรณกรรมของสุนทรภู่ ทั้งหมด ๒๔ เรื่อง
ได้ข้อมูลมาจากhttp://www.zabzaa.com/event/soonthonpoo.htm
ผู้เขียนบล็อก
น.ส. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูผู้สอนเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล คุณครูโรงเรียนขามสะแกแสง


Friday, June 13, 2008

ประวัติวันไหว้ครู 16 มกราคมของทุกปี

เพลงพระคุณที่ 3
ครูบาอาจารย์ ที่ท่านประทานความรู้มาให้

อบรมจิตใจให้รู้ผิดชอบชั่วดีก่อนจะนอนสวดมนต์อ้อนวอนทุกที
ขอกุศลบุญบารมีส่งเสริมครูนี้ให้ร่มเย็น
ครูมีบุญคุณจึงขอเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า
ท่านสั่งสอนเรา อบรมให้เราไม่เว้น
ท่านอุทิศไม่คิดถึงความยากเย็น
สอนจนรู้จัดเจนเฝ้าเน้นเฝ้าแนะมิได้อำพราง
พระคุณที่สามงดงามแจ่มใส
แต่ว่าใครหนอใคร เปรียบเปรยเอาไว้ว่าเป็นเรือจ้าง
ถ้าหากจะคิด ยิ่งคิดยิ่งเห็นว่าผิดทาง
มีใครไหนบ้างแนะนำแนวทางอย่างครู
บุญเคยทำมาแต่ปางใด ๆ เรายกให้ท่าน
ตั้งใจกราบกราน ระลึกคุณท่านกตัญญู
โรคและภัยอย่าหมายแผ้วพานคุณครู
ขอกุศลผลบุญค้ำชู ให้ครูเป็นสุข ชั่วนิรันดร...ให้ครูเป็นสุขชั่วนิรันดร


เดือนมิถุนายนวนเวียนมาถึงอีกครั้ง บรรดานักเรียนทั้งหลายคงจำกันได้ดีว่า วันพฤหัสบดีแรกของเดือนมิถุนายน จะเป็นวันไหว้ครู ซึ่งตามโรงเรียนต่างๆ ก็จะ มีพิธีการระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์.... ซึ่งวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับการไหว้ครูแบบดั้งเดิมในสมัยโบราณ ... ส่วนจะมีความแตกต่างจากปัจจุบันหรือไม่ อย่างไรนั้นลองไปอ่านดูกันเลยค่ะ

การเตรียมพานไหว้ครู

สมัยก่อน ครูประจำชั้นของแต่ละห้องจะคัดเลือกนักเรียนที่เรียนดีและมีมารยาทเรียบร้อย ผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคนเป็นตัวแทนนำพานดอกไม้ไปไหว้ครู และในเย็นวันพุธจะมีการแบ่งหน้าที่กันว่า ในเช้าวันพฤหัสบดี นักเรียนคนใดจะต้องนำอะไรมาโรงเรียนบ้าง เช่น บางคนมีพานเงินหรือพานแก้วก็จะเป็นคนเอาพานมา บางคนเอาทรายหรือดินเหนียวมาใส่พานเพื่อปักดอกไม้ บางคนต้องเอาธูปเทียนมา ส่วนนักเรียนที่เหลือให้ไปช่วยกันหาดอกไม้มา โดยมีดอกไม้ที่กำหนด คือ ดอกมะเขือ หญ้าแพรก ดอกเข็ม และดอกไม้อื่นๆ เป็นต้น

ตอนเช้าตรู่วันพฤหัสบดีซึ่งเป็นวันไหว้ครู เด็กๆ จะไปโรงเรียนเช้าเป็นพิเศษ เพื่อไปช่วยกันจัดพานดอกไม้ ซึ่งอาจมีการปัก ดอกบานไม่รู้โรย ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบบ้าน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขือ โดยที่พานดอกไม้นี้เด็กนักเรียนหญิงจะเป็นคนถือ ส่วนเด็กผู้ชายจะถือธูปเทียนและช่อดอกไม้ ( ช่อดอกไม้หมายถึงดอกไม้ที่หาได้แล้วเอามัดมารวมกัน แซมด้วยหญ้าแพรกและดอกมะเขืออีกเช่นกัน)

จะเห็นว่าพิธีไหว้ครูแต่โบราณไม่มีพิธีรีตรองมากนัก แต่มีความหมายแฝงไว้มากมาย คนโบราณเป็นนักคิดจะทำอะไรก็มักจะผูกเป็นปริศนาที่ลึกซึ้งเอาไว้เสมอ ในพิธีไหว้ครูก็เช่นเดียวกันเครื่องสักการะที่ใช้ในการไหว้ครูนั้น นอกจากธูป เทียน แล้วยังมีข้าวตอก ดอกมะเขือ ดอกเข็ม และหญ้าแพรก ซึ่งเป็นของหาง่ายและมีความหมาย ดังจะ กล่าวต่อไปนี้…


ความหมายของดอกไม้ต่างๆ ที่นิยมใช้ในการไหว้ครู

ดอกมะเขือ เป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ไม่ได้เป็นดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกำหนดให้เป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่างๆ นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่ เช่นเดียวกับหญ้าแพรก

หญ้าแพรก เป็นหญ้าที่เจริญงอกงาม แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกดอกมะเขือจึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนั่นเอง

ดอกเข็ม เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็นได้ว่า เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรู้จะให้ประโยชน์กับชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม

วันครู...ไหว้ครูวันนี้

สำหรับการไหว้ครูในปัจจุบันตามโรงเรียนต่างๆ มักจะเลือกวันในช่วงสัปดาห์แรกๆ เพื่อจัดพิธีไหว้ครู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตามสะดวกของสถาบันการศึกษาแต่ละแห่ง ซึ่งความต่างของวันไหว้ครูในยุคนี้ เราจะสังเกตเห็นว่าเครื่องสักการะที่นักเรียนนำมาไหว้ครูนั้นนับวันจะหมดความหมายลงไปทุกที

นักเรียนส่วนใหญ่มักซื้อดอกไม้ที่สวยงามจากตลาดแทนการใช้เครื่องสักการะที่มีความหมายซึ่งใช้กันมาแต่โบราณ และมักไม่ใช้ความสามารถของตนในการจัดพานเครื่องสักการะครูส่วนใหญ่จะจ้างผู้มีฝีมือในทางด้านนี้ทำให้แบบสำเร็จรูป

ถ้าหากเราจะรณรงค์ให้มีการตระหนักถึงคุณค่าของการไหว้ครูอย่างแท้จริง โดยร่วมแรงร่วมใจกันจัดพาน ใช้ดอกมะเขือ หญ้าแพรกเป็นสื่อความหมายก็น่าจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย เพราะการปลูกมะเขือและหญ้าแพรกนั้นง่ายกว่าและประหยัดกว่าการซื้อดอกไม้อื่นๆ มากมายนัก




ผู้เขียนบล็อก
น.ส.เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูผู้สอนเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล คุณครูโรงเรียนขามสะแกแสง


Friday, May 30, 2008

31พฤษภาคม วันงดสูบบุหรี่โลก

วันงดสูบบุหรี่โลกจัดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1988 โดยองค์การอนามัยโลก เนื่องจากเล็งเห็นอันตรายของบุหรี่ต่อสุขภาพ ของผู้สูบบุหรี่และผู้ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันบุหรี่ การจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลกก็เพื่อกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบ และให้รัฐบาลชุมชนและประชากรโลก ตระหนักถึงความสำคัญและเข้าร่วมกิจกรรม องค์การอนามัยโลกระบุชัดเจนว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่สามารถป้องกันได้ และกำหนดให้ วันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก ( World No Tobacco Day)

ซึ่งในปีนี้ ได้กำหนดประเด็นการรณรงค์เพื่อให้ทุกภาคส่วนดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน และให้บุคลากรสาธารณสุขมีส่วนร่วมในการรณรงค์ควบคุมการบริโภคยาสูบ ภายใต้คำขวัญว่า "Health Professionals Against Tobacco" หรือ " ทีมสุขภาพร่วมใจ ขจัดภัยบุหรี่" โดยกระทรวงสาธารณสุขและเครือข่ายได้กำหนดให้ใช้ ดอกลีลาวดี เป็นสัญลักษณ์ในการรณรงค์ปีนี้

สัญลักษณ์การรณรงค์วันงดสูบบุหรี่โลก



สถานการณ์การสูบบุหรี่ของคนไทย

o จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ทำการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากร ปี 2547 พบว่า
o มีผู้สูบบุหรี่ประจำ 9.6 ล้านคน โดยลดลงจากการสำรวจเมื่อปี 2544 ที่มีผู้สูบบุหรี่ประจำ 10.6 ล้านคน
o ผู้สูบบุหรี่เป็นเพศชาย 9,627,686 คน เพศหญิง 525,695 คน
o ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษาและต่ำกว่า 6.2 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 64ของผู้สูบบุหรี่ o ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้สูบบุหรี่มากที่สุด คือ 3.5 ล้านคน และกรุงเทพมหานครมีผู้สูบบุหรี่น้อยที่สุดคือ 858,420 คน
o การเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่เป็นภาระโรคอันดับที่ 2 ของคนไทย รองจากโรคเอดส์ และแอลกอฮอล์เป็นอันดับสาม
o โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยมากที่สุด คือ โรคหัวใจและโรคมะเร็ง
o ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคจากการสูบบุหรี่ปีละ 52,000 คน หรือวันละ 142 คน หรือชั่วโมงละ 6 คน
เลิกบุหรี่...วิธีไหนดีที่สุด

จากสถิติพบว่า ร้อยละ 80 ของผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ สามารถเลิกได้ด้วยตนเองและผู้ที่เลิกได้สำเร็จส่วนใหญ่ใช้วิธีไม่สูบบุหรี่เลย ในผู้เลิกสูบโดยวิธีค่อย ๆ ลดจำนวนมวนที่สูบลงนั้น ส่วนใหญ่จะไม่สามารถเลิกสูบได้

เคล็ดลับ...ในการเลิกบุหรี่
หากคุณตัดสินใจที่จะเลิกสูบบุหรี่ให้ปฏิบัติดังนี้
- ทิ้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ให้หมด ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ ที่เขี่ยบุหรี่ และไฟแช็ค
- ตั้งสติให้มั่น เข้มแข็งเมื่อมีอาการหงุดหงิด
- ตัดความเคยชิน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มักจะทำร่วมกับการสูบบุหรี่ เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- คุมอาหารด้วยการเลือกรับประทานอาหารจำพวกผักผลไม้ให้มากกว่าเดิม
- จดจำเหตุผลที่คุณตัดสินใจเลิกบุหรี่ไว้ให้ขึ้นใจ เพื่อเป็นกำลังใจเวลาท้อ
- เตือนตนเองอยู่เสมอว่า "คุณไม่สูบบุหรี่แล้ว"
ที่มา : ศูนย์ข้อมูล มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
ปัจจุบันในสังคมไทยเริ่มมีการตื่นตัวกับเรื่องพิษภัยของบุหรี่กันเพิ่มมากขึ้น หลายหน่วยงานต่างให้ความสำคัญ ในเรื่องนี้ แม้กระทั่งกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่มีการร่วมกันจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยและโทษของการสูบบุหรี่ รวมถึงการร่วมรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ โดยการนำสินค้าที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ มาใช้เป็นสัญลักษณ์ในการรณรงค์"We Care" เป็นการรวมกลุ่มกันของเยาวชนเพื่อการรณรงค์ให้สังคมไทยปลอดบุหรี่ซึ่งมีกลุ่มแกนนำ 15 คน จาก 5 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยม สาธิตจุฬา ราชวินิตมัธยม บางมดวิทยาและ นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยาพุทธมณฑล โดยเน้นให้เยาวชนในสังคมเลิกยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่ ภายใต้การสนับสนุนของ องค์การอนามัยโลกและมูลนิธิเพื่อการไม่สูบบุหรี่
โดยในวันที่ 31 พ.ค. นี้กลุ่ม We Care จะมีการนำสายรัดข้อมือสีแดงสดที่มีข้อความว่า "NON SMOKING GENERATION" ออกจำหน่าย เพื่อเป็นการสร้างค่านิยมให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ในการไม่สูบบุหรี่ โดยจะนำออกจำหน่ายที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สยามแสควร์และมาบุญครอง ในราคา 99 บาทต่อ1 เส้น นำรายได้เข้ากลุ่ม We Care เพื่อใช้สำหรับกิจกรรมรณรงค์ในครั้งต่อๆ ไป
แม้ในทุกวันนี้การสูบบุหรี่ของประชากรไทยมีแนวโน้มที่ลดลงแต่ก็ยังมีผู้เสพติดบุหรี่เหลืออยู่อีกเป็นจำนวน
มากซึ่งการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญอันดับที่สองที่ทำให้คนไทยป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เมื่อทราบถึงพิษภัยของบุหรี่ที่มีมากมายแล้วคงตัดสินใจได้ไม่ยากที่จะเลิกบุหรี่เสียแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป...
ที่มาของเว็บไซต์นี้
ผู้เขียนบล็อก
น.ส. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูสอนเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล คุณครูโรงเรียนขามสะแกแสง

Monday, May 5, 2008

ประเพณีวันฉัตรมงคล....

5 พฤษภาคม
วันฉัตรมงคล

ความเป็นมาของวันสำคัญ

พระราชพิธีฉัตรมงคลรัชกาลปัจจุบัน ตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม เมื่อพ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงกระทำพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นลำดับที่ 9 แห่งพระราชวงศ์จักรี จึงถือว่าวันที่ 5 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันมงคลสมัย พสกนิกรและรัฐจึงได้ร่วมกันจัดพระราชพิธีขึ้น เรียกว่า "รัฐพิธีฉัตรมงคล" บ้างก็เรียกว่า "พระราชพิธีฉัตรมงคล" จนกระทั่งถึงสมัยพระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ได้ทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2394 แล้ว พระองค์ทรงพระราชดำริว่า วันบรมราชาภิเษกเป็นมหามงคลสมัย ประเทศทั้งหลายที่มีพระเจ้าแผ่นดินครองประเทศ ย่อมนับถือว่าวันนี้เป็นวันนักขัตฤกษ์มงคลกาล ต่างก็จัดงานขึ้นเป็นอนุสรณ์ ส่วนในประเทศของเรายังไม่ควรจะจัดขึ้น แต่จะประกาศแก่คนทั้งหลายว่าจะจัดงานวันบรมราชาภิเษกหรืองานฉัตรมงคล ผู้คนในขณะนั้นยังไม่คุ้นเคยย่อมไม่เข้าใจ จะต้องทรงอธิบายชี้แจงยืดยาว จึงโปรดให้เรียกชื่อไปตามเก่าว่างานสมโภชเครื่องราชูปโภค แต่ทำในวันคล้ายวันราชาภิเษก นิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 รุ่งขึ้นพระสงฆ์ฉันที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ด้วยเหตุนี้จึงถือว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลเริ่มมีขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นครั้งแรก


ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงาน 3 วัน วันแรกตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคม เป็นงานพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย อุทิศถวายแด่พระบรมราชบุพการี เป็นพิธีสงฆ์ พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์แล้วพระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนา พระสงฆ์สดับปกรณ์พระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี วันที่ 4 พฤษภาคม เริ่มพระราชพิธีฉัตรมงคล หัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น วันที่ 5 พฤษภาคม เป็นวันฉัตรมงคล มีงานเลี้ยงพระและสมโภชเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ตอนเที่ยงทหารบก ทหารเรือยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ 12 นัด ในวันนี้จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตราจุลจอมเกล้าแก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานด้วย
กิจกรรมที่ควรปฏิบัติเนื่องในวันฉัตรมงคล
ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน
ข้อมูลของวันฉัตรมงคล : http://www.bu.ac.th/th/visitor/thailand/festival/chatmongkol/html/
ผู้เขียนบล็อก:น.ส.เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูผู้ฝึกสอนการเขียนบล็อก:คุณครู เพียรผจง เนตระกูล

Sunday, April 20, 2008

ตำนาน(ผี)แม่นากพระโขนง

เรื่องราวโดยย่อของแม่นาคพระโขนง
ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีสามีภรรยาที่รักกันมากคู่หนึ่งอาศัยอยู่ริมคลองวัดมหาบุศย์เขตพระโขนง ภรรยาชื่อนาค สามีชื่อทิดมาก ทั้งคู่ปลูกเรือนหลังเล็กๆ อยู่ห่างไกลจากผู้คนมาพอสมควร เมื่ออยู่กันได้ไม่นานนางนาคก็ตั้งท้องขณะที่บ้านเมืองกำลังเกิดศึกสงคราม ทิดมากจึงถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นทหาร และต้องออกรบยังต่างเมือง ไม่นานนางนาคก็คลอดลูกกับหมอตำแยโดยทิดมากไม่ได้อยู่ดูแล โชคร้ายที่นางนาคเจ็บท้องจนทนไม่ไหวจึงสิ้นใจตายพร้อมลูกในท้องในเวลาต่อมา แต่ด้วยความรักที่มีต่อผัวจึงไม่ยอมไปผุดไปเกิด และรอวันที่ผัวจะกลับมา ระหว่างนั้นก็เที่ยวหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวไปทั่ว
วันขึ้น 15 ค่ำ ทิดมากกลับมาในเวลาพลบค่ำแต่ก็ยังพอเห็นทางเดินแบบลางๆ เนื่องจากเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อถึงบ้านก็เห็นแม่นาคนั่งร้องเพลงกล่อมลูกอยู่ที่เรือนชานก็รู้สึกดีใจรีบวิ่งไปหาลูกเมีย แต่ต้องสะดุ้งสุดตัวที่ร่างกายนางนาคเย็นผิดปกติ ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก ระหว่างนั้นแม่นาคก็จัดแจงยกสำรับกับข้าวออกมาให้ผัวกินและก็บังเอิญที่ทิดมากทำช้อนตกลงพื้นเรือนแม่นาคจึงเอื้อมมือไปเก็บอย่างรวดเร็วทำให้ทิดมากรู้สึกแปลกใจ
ต่อมาชาวบ้านก็แอบกระซิบบอกทิดมากว่านางนาคได้ตายไปนานแล้วและตายทั้งกลมด้วย
ที่พ่อมากเห็นแม่นาคอุ้มลูกน้อยนั้นนะเป็นผี ไม่ไช่คน ประกอบกับตนเองก็เห็นพฤติกรรมแปลกๆอยู่หลายครั้ง จึงตัดสินใจหนีไปอาศัยอยู่ที่วัดมหาบุศย์ ทำให้นางนาคต้องออกติดตามหาผัว พร้อมกับเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้านด้วยความโกรธแค้น จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านวัด สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ต่อมาชาวบ้านได้ไปตามหมอผีมาปราบ และจับวิญญาณแม่นาคใส่หม้อดินไปถ่วงน้ำ พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณไปผุดไปเกิด ไม่ต้องมาวนเวียนหลอกหลอนชาวบ้านอีกต่อไป
เรื่องราวโดยย่อของแม่นาคพระโขนงก็จบลงแต่เพียงเท่านี้
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.photoontour.com/CityTour_HTML/watmahabudth/watmahabudth.htm
ผู้เขียนบล็อก : น.ส.เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
ครูผู้สอนเขียนบล็อก : ครู เพียรผจง เนตระกูล

Monday, April 14, 2008

วันแรงงานแห่งชาติ



วันแรงงานแห่งชาติ
ความเป็นมา

แรงงานคือพลังการผลิต นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดผลผลิตในระบบเศรษฐกิจ พลังของผู้ใช้แรงงานจะแฝงอยู่ในผลผลิตทุกชิ้น ความมั่นคงก้าวหน้าหรือความอ่อนแอล้าหลังทางเศรษฐกิจย่อมชี้ขาดด้วยพลังการผลิตคือแรงงาน
เมื่ออุตสาหกรรมขยายตัว แรงงานก็มีปัญหา และปัญหาแรงงานดังกล่าวก็มีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ในเมืองไทยได้เริ่มมีการจัดการบริหารแรงงานขึ้นในปี พ.ศ.2475 เมื่อรัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติจัดหางาน พ.ศ.2475 และพระราชบัญญัติจัดหางานประจำท้องถิ่น พ.ศ.2475การบริหารแรงงาน หมายถึงการจัดสรรและพัฒนาแรงงานคุ้มครองดูแลสภาพการทำงาน สร้างรากฐานและขบวนการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาระการสร้างงานการประกอบอาชีพ
เมื่อ พ.ศ.2477 ได้มีการจัดตั้งกองกรรมกรขึ้น ทำหน้าที่ด้านการจัดหางานและศึกษาภาวะความเป็นอยู่ของคนงานทั่วไป พ.ศ.2499 รัฐบาลได้ขยายกิจการด้านแรงงานสัมพันธ์มากขึ้นและประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับแรกในปี พ.ศ.2508 และปีเดียวกันได้มีการตั้งกรมแรงงานขึ้น อีกทั้งประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน

ปัจจุบัน การบริหารแรงงานอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมมีงานสำคัญเกี่ยวข้องกับแรงงานดังนี้
1. การจัดหางาน ด้วยการช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำ ช่วยเหลือนายจ้างให้ได้คนมีคุณภาพดีไปทำงาน รวบรวมเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการทำงาน แหล่งงาน ภาวะตลาดแรงงาน
2. งานแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนและผู้ประสงค์จะทำงาน เพื่อให้สามารถเลือกแนวทางประกอบอาชีพที่เหมาะสมตามความถนัด ความสามารถทางร่างกาย คุณสมบัติ บุคลิกภาพและความเหมาะสมแก่ความต้องการทางเศรษฐกิจ
3. การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแก่คนงานและเยาวชนที่ไม่มีโอกาสศึกษาต่อโดยการฝึกแบบเร่งรัด
4. งานคุ้มครองแรงงาน วางหลักการและวิธีการเกี่ยวกับชั่วโมงทำงาน วันหยุดงาน ตลอดจนการจัดให้มีสวัสดิการต่างๆ
5. งานแรงงานสัมพันธ์ทำการส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจถึงลักษณะและสภาพของปัญหา ตลอดจนวิธีการที่เหมาะสมที่จะช่วยขจัดความเข้าใจผิดและข้อขัดแย้งอื่นๆ
ด้านกรรมกร ได้มีการจัดตั้งกลุ่มสหภาพแรงงานขึ้นหลายร้อยกลุ่มและรวมกันจัดตั้งสภาองค์การลูกจ้างขึ้น ทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิให้กับผู้ใช้แรงงาน ปัจจุบันมี 3 สภา ได้แก่
1. สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย
2. สภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย
3. สภาองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย

เพื่อเป็นการยกย่องผู้ใช้แรงงานในประเทศไทย รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ตามคณะพรรคสังคมนิยมระหว่างชาติได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2432 โดยประเทศในยุโรปส่วนมากก็กำหนดวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันแรงงาน ในวันนี้ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่จะได้รับอนุญาตจากนายจ้างให้หยุดงานได้ 1 วันเพื่อเฉลิมฉลองและตระหนักถึงหน้าที่ความสำคัญของผู้ใช้แรงงาน
สามารถหาข้อมูลของวันเเรงงานแห่งชาติเพิ่มเติมได้ที่
ผู้เขียนบล็อก
น.ส.เพ็ญแข หวังปรุงกลาง
ครูผู้สอนเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล

Thursday, April 10, 2008

เปิดตำนานพญาครุฑ

ครุฑ เทพพาหนะของพระนารายณ์ เป็นโอรสพระกัศยปมุนี (ฤาษีตนหนึ่งในเจ็ดตนที่เรียกว่า สัปตฤษี หรือพระประชาบดี) และนางวินตาหรือนางทิติธิดาองค์หนึ่งของ พระทักษประชาบดี พระทักษประชาบดีนี้น เป็นโอรสของพระพรหม และเป็นผู้มีภริยามาก มีธิดาถึง 50 องค์ ยกให้เป็นชายาพระยมเสีย 10 องค์ ยกให้ พระจันทร์เสีย 27 องค์ (27 นักษัตร) และยกให้พระกัศยปเสีย 13 องค์ ในจำนวนธิดา 13 องค์นี้ที่เป็นชายาของพระกัศยปมีอยู่สององค์ คือนางวินตามารดาครุฑ และนางกทรูมารดาของพวกพญานาค นางวินตามีโอรสสององค์ คือครุฑและอรุณ ซึ่งต่อมาได้เป็นสารถีของ พระสุริยเทพ เมื่อนางวินตาคลอดครุฑโอรสองค์แรกออกมานั้น เป็นฟองไข่ ครุฑจึงได้มีลักษณะคล้ายนกไป ส่วนนางกทรูมีโอรสพันองค์ ล้วนเป็นพญานาคทั้งนั้น
ครุฑ เมื่อแรกเกิด ร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกที่ใดบรรดาขุนเขา ก็ตกใจต้องปลาดหนีไปพร้อมกับพระพาย รัศมีที่พวยพุ่ง ออกจากกาย มีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วทั่วสี่ทิศ กระทำให้ทวยเทพ ต้องตกใจสำคัญว่าเป็นพระอัคนี ต่างพากันมาบูชาครุฑ เพื่อขอความคุ้มครองจากครุฑ อีกตำราหนึ่งว่าครุฑนั้นมีรูปร่าง และลักษณะดังนี้ เศียรจงอยปากปีและเล็บเป็นอย่างนกอินทรี ท่อนกายตัวและแขนขาเป็นอย่างคน หน้าเป็นสีขาว ปีเป็นสีแดง (ของ จีนว่าปีกทอง) กายตัวเป็นสีทอง มีโอรสชื่อสัมปาติ (สัมพาที) และชฎายุ (แต่บางตำราว่า สัมปาติและชฎายุเป็นโอรสของพระอรุณ) มีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา

ครุฑ เป็นศัตรูกับพญานาคอย่างรุนแรง เหตุเกิดขึ้นเพราะนางวินตามารดาครุฑทะเลาะกันขึ้น กับนางกทรูมารดาพวกพญานาค ด้วยเรื่องเถียงและพนันกันว่าสีม้าที่เกิดขึ้น เมื่อคราวทวยเทพ และอสูรกวนน้ำอมฤตนั้นเป็นสีอะไร นับแต่นั้นมาครุฑและพวกพญานาคก็ไม่ถูกกันต่างพยาบาท มาดร้ายกันอยู่ คราวเมื่อครุฑแต่งงาน พวกพญานาค เกรงว่าถ้าครุฑมีผู้สืบเชื้อสาย เมื่อใด ก็จะเป็นภัยแก่พวกพญานาคและพวกลูกหลานของตน จึงยกพวกหวังไปสังหารครุฑแต่ถูกครุฑ ฆ่าพวกพญานาคตายเกือบหมด คงเหลือรอดชีวิตอยู่เพียงตัวเดียว ซึ่งครุฑเอามาคล้องคอ เป็นสังวาล ชาวฮินดูที่ถือความขลังความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจะเข้านอนมักออกชื่อครุฑ เป็นอย่างบริกรรมมนต์ ว่าถ้าทำอย่างนั้นจะพ้นภัยจากงูอสรพิษกัด
ครุฑ มีชื่อเรียกอยู่มากมายหลายชื่อ เช่น กาศยปิและเวนไตย อันเป็นชื่อสืบมาจากกัศยปและวินตา สุบรรณและครุฑมาน คือเจ้าแห่งนก สิตามันมีหน้าขาว รักตปักษ์ มีปีกแดง เศวตโรหิต มีสีขาวและแดง สุวรรณกาย กายมีสีทอง คคเนศวร เป็นเจ้าแห่งอากาศ ขเคศวร ผู้เป็นใหญ่แห่งนก นาคานตกและนาคนาศนะศัตรูแห่งนาค สรรปาราติ ศัตรูแห่งงู ตรสวิน ผู้เคลื่อนไปเร็ว รสายนะ ผู้เคลื่อนไปอย่างปรอท กามจารินผู้ไปตามอำเภอใจ กามายุส ผู้อยู่ด้วยความยินดีแห่งกาม จิราท ผู้กินนาน อมฤตาหรณ์และสุธาหร ผู้ลักน้ำ อมฤต สุเรนทรชิต ผู้ชนะพระอินทร์ วัชรชิต ผู้ปราบชนะสายฟ้า
รูปครุฑเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์ ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เนื่องจากเป็นความเชื่อในลัทธิสมมุติเทวราช ที่ถือว่ากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ที่ลงมาปกครองบ้านเมือง และเมื่อพระนารายณ์มีครุฑเป็นพาหนะของพระองค์ ครุฑจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญไปด้วย การใช้รูปครุฑเป็นตราแผ่นดินและเครื่องหมายของทางราชการ กำหนดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้รูป ครุฑรำ หรือเรียกว่า พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ นอกจากนี้ ยังใช้ตราครุฑเป็นตราหัวกระดาษของหนังสือ หรือแบบฟอร์มในราชการอีกด้วย สำหรับภาคธุรกิจเอกชนที่มีเครื่องหมายครุฑพ่าห์ประดับอาคารได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติ จึงจะได้รับพระราชทานตราตั้ง หรือหนังสือรับรองการพระราชทานพระบรมราชานุญาต มีคำว่า "โดยได้รับพระบรมราชานุญาต" อยู่เบื้องล่างของตราครุฑนั้น เพื่อแสดงว่า เป็นผู้ได้รับพระราชทานให้ใช้ตราแผ่นดินในกิจการได้

ร่วมเปิดตำนานพญาครุฑโดย
ผู้เขียนบล็อก
น.ส.เพ็ญแข หวังปรุงกลาง
นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
ครูผู้สอนเขียนบล็อก
ครู เพียรผจง เนตระกูล



Friday, March 28, 2008

การดูแลเส้นผม....


ผมสลวยสวยขำ ดำเป็นเงา เป็นท่อนเนื้อเพลงสมัยเก่า ที่บรรยายความงาม ของเส้นผมของผู้หญิง เป็นลักษณะของเส้นผม ที่ท่านหญิงทุกคนปรารถนา ที่ทำให้เส้นผมนั้น ดำเป็นเงา ตั้งแต่วัยรุ่น จนถึงวัยชรา แต่ทุกอย่างล้วนอนิจจัง เส้นผมก็เดียวกัน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ตามสภาวะแวดล้อม ธรรมชาติ และทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ การย้อม การดัด การเข้าใจ ลักษณะทางกายภาพ และส่วนประกอบของเส้นผม จะทำให้คุณได้เข้าใจได้ดีขึ้น

เส้นผม ประกอบด้วยเซลล์ 3 ชั้น
ชั้นนอก เรียก คิวติเกิล (cuticle)

ชั้นกลาง เรียก คอรเทก (cortex)
ชั้นใน เรียก เม็ดดัลลา (medulla)

ชั้นนอก
มีประมาณ 6-10 ชั้น ตรงโคนหนากว่าปลายเส้นผม เซลล์จะเรียงต่อ ทับกัน เหมือนกับ การสร้างหลังคาบ้าน ปลายที่เป็นอิสระ จะชี้ไปทางปลายเส้นผม แต่ละเซลล์ ประกอบด้วยชั้นต่างๆอีก 3 ชั้น ผมจะสวยหรือไม่สวย อยู่ที่ชั้นนี้
ชั้นกลาง
เป็นส่วนประกอบ ที่ทำให้เส้นผมแข็งแรง มีเส้นใยเล็กๆ ทอดยาว ตลอดความยาวเส้นผม พูดง่าย ๆ เหมือน ก้านธูปหลายก้าน ที่มัดไว้เป็นห่อ ในแต่ละ 1 เส้นใย ประกอบด้วยใยเล็กๆ อยู่รวมกัน เป็นเส้นใยใหญ่ 1 เส้น เส้นใยใหญ่ นี้อยู่ในเซลล์ ที่ชื่อว่า พาราคอร์เทก (paracortex) อีกทีหนึ่ง คนที่มีเส้นผมหยักโศก เซลล์จะเป็นพาราคอร์เทก ส่วนผมม้วนหยิก เช่น นิโกร เป็นเซลล์ที่เรียกว่า พาราคอร์เทก ผสมออโทคอร์เทก (เซลล์มีอยู่กันแน่นน้อยกว่า อีกแบบหนึ่ง)
ชั้นใน
ประกอบด้วยเซลล์ ที่มีโพรงอากาศอยู่ อาจมีอยู่ติดต่อกันทั้งเส้น หรืออยู่เป็นระยะ ๆ หรือบางทีไม่มี
ส้นผม ประกอบด้วย น้ำ โปรตีน 65-95% และกรดอมิโน อาจมีไขมัน เม็ดสี ธาตุโลหะปนเล็กน้อย กรดอมิโน เป็น ซีสเตอีน โปรลิน ลิวซิน ฯลฯ ถ้าเอาเส้นผมแช่น้ำ น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น 12-18% การดูดซึมเร็วมาก ใช้เวลา 4 นาที ถ้าอากาศมีความชื้นสูง การดูดซึมก็สูงขึ้น ไขมันของเส้นผมเพิ่มขึ้น เมื่อวัยหนุ่มสาว และลดลง โดยเฉพาะผู้หญิง ที่มีอายุมากขึ้น ส่วนของผู้ชาย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก ดังนั้นผู้หญิงวัยกลางคน ผมจะแห้งกรอบ ผิดสังเกต แร่ธาตุในเส้นผม มีปนกันไม่ถึง 1% มีโลหะ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี โซเดียม โปตัสเซียม ฯลฯ
การหวี การแปรงผม การฟอกสีผม การย้อมผม หรืออาจเกิดจาก การเสียดสี การเปียกน้ำ การโดนรังสี ชั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง คือ ชั้นนอกและชั้นกลาง ปลายของเซลล์ชั้นนอก จะยกขึ้นและแตกออก และหลุดออก ทำให้เส้นผมไม่มีเซลล์ชั้นนอก อาจทำให้ปลายเส้นผมแตก หรือเส้นผมตรงกลาง เป็นร่องลึก ความยาว หรือความขวาง หรือผมหักมองดูเป็นปุ๋มสีขาว ถ้าเกิดจากการย้อม หรือดัดถาวร ทำให้เส้นผมบิด การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มักเกิดที่ปลายเส้นผม


เส้นผมหัก
เป็นอาการรุนแรงของ ความผิดปกติของเส้นผม อาจเป็นเพราะกรรมพันธ์ หรือใช้เครื่องสำอางมากเกินไป ทำให้เส้นผมเปราะบาง หักและไม่ยาว ในบางราย เกิดจากการ ใช้ยาสระผม การแปรงผม และตากแสงแดดมากไป ในบางคนเกิดจาก น้ำยายืดผม ความเปลี่ยนแปลงเริ่มต้น จากเซลล์ชั้นนอก มีโพรงอากาศในเซลล์ เมื่อเส้นผมหัก เริ่มแรกอาจเรียก เส้นผมร้าว เมื่อเส้นผมหักหลุดไปแล้ว จึงเหลือเป็นเส้นผมแตก บางรายอาจแตกตามยาวตรงกลาง แต่ปลายเส้นผมดีก็มี บางรายอาจแตกตรงชั้นนอก ชั้นเดียวก็ได้ หรือหักชนิด โดยที่ไม่มีการแตกปลาย
สีเส้นผม
อาจเปลี่ยนสีได้ เมื่อสัมผัสกับแสงแดดนานๆ จากสีดำกลายเป็นสีน้ำตาลแดง แสงแดดยังทำให้ ผมแห้งกรอบ อ่อน ผิวขรุขระ สีจางไร้เงา บางทีแข็งแต่เปราะ มีการทำลายผิวชั้นนอก ของเส้นผมก่อนที่จะ เข้าทำลายชั้นกลาง อนุมูลอิสระ ที่เกิดจากแสงแดด จะถูกดูดซับโดย กรดอมิโน เช่น ซีสตีน ไทโรซิน เฟนนิลอลานิน และทริปโตแฟน ทำให้ตัวเชื่อมไดซัลไฟด์เสียหาย เหมือนกับน้ำยาดัดผม ถ้าปฎิกิริยารุนแรง ความแข็งแกร่งของเส้นผม จะลดลง ดังนั้น ในครีมนวดผม หรือเจลแต่งผมบางชนิด ผสมตัวยากันแดด เพื่อช่วยป้องกันอันตราย จากแสงแดด ดังนั้นหลังจาก การฟอกสี และการดัดผม ควรที่จะป้องกันอันตราย จากแสงแดด เพราะอาจทำให้เส้นผมหักได้ ทั้งนี้เกิดจาก บางส่วนของเซลล์ชั้นนอก ถูกทำลายไปก่อนแล้ว จากยาสระผม
สภาวะของเส้นผมที่พบประจำไข่เหาเทียม
เป็นปรากฎการณ์ อย่างหนึ่งที่เป็นเยื่อหุ้มขาว ๆ อยู่รอบเส้นผม มองดูไกลๆ นึกว่าเป็นไข่เหา ใช้แชมพูสระผมแก้รังแค ก็ไม่หลุด เป็นเพราะเยื่อหุ้มนี้ เกิดจากเยื่อหุ้มของรากผม บางที อาจเกิดจากการใช้สเปรย์ หรือการทำทรงผมที่ใช้แรงดึง
เส้นผมกลวง
คือมีฟองอากาศ หรือช่องว่างในเส้นผม ซึ่งแตกหักง่าย มักเกิดจาก มีการทำลายเส้นผม มาเป็นเวลานาน จากการเป่าร้อนเกินไป การใช้โรลล์ม้วนผมไฟฟ้า น้ำคลอรีนในสระว่ายน้ำ การทำให้สีผมจาง การแก้ไข โดยการใช้ระบบ การดูแลเส้นผม (hair care) ที่อ่อนนุ่มละไม จึงจะสามารถป้องกัน การเกิดเหล่านี้ได้

การผสมแชมพู
ใส่สารต่างๆ อยู่ในเนื้อเดียวกัน ใส่ความเข้มข้นเท่าใด จึงจะพอดี ไม่ให้เส้นผมแห้งเกินไป หรือถ้าใช้กับผมแห้ง ก็เพิ่มเงาในตัว นอกจากให้ผมสวยแล้ว ต้องทำความสะอาดดีด้วย แล้วเติมสารบำรุงเส้นผม เรียบร้อยในตัว บางทีใส่สารดูแลเส้นผมเพิ่ม เพิ่มความนุ่มนวลของเส้นผม ตัวควบคุม ความเป็นกรดเป็นด่าง ยากันบูด น้ำหอม สี ฯลฯ การใส่สารบำรุงเส้นผม เพื่อให้ผมนุ่ม เป็นมัน ลดการกระเซิงและหวีง่าย โดยเฉพาะผมแห้ง และผมที่ถูกทำลาย อาจใส่สาร เช่น ลาโนลิน น้ำมันพืช ขี้ผึ้งต่างๆ ไขมัน แอลกอฮอล์ เลซิติน กรดไขมัน โปรตีน เช่น คอลลาเจน เคราติน สารสกัดจากข้าว และถั่วเหลือง ซิลิโคน ไวตามิน สารกันแดด แพนทีนอล ที่สำคัญ คือสารประจุบวก และซิลิโคน ซึ่งเป็นการบุกเบิกก้าวใหม่ ของสารดูแลเส้นผม อย่างที่กล่าวแล้วว่า สารโพลีเมอร์ประจุบวก ทำให้ผมนิ่ม และเรียบ ลดการเสียดสี เมื่อหวีผม และลดประจุไฟฟ้าสถิตย์ ใช้ร่วมกับแชมพูประจุลบไม่ได้ สารโพลิเมอร์ประจุบวกแตกต่าง จากสารเกิดฟองประจุบวก สามารถซึมเข้าไปในเส้นผม เคลือบผิวเส้นผมให้เรียบ เมื่อสระล้างแล้ว ทำให้เส้นผมสวยและหวีง่าย และยังป้องกันอันตราย จากสิ่งภายนอก สารพวกนี้ได้แก่ กลุ่มเซลลูโลส แป้ง ยาง ไชตีน ซิลิโคน ฯลฯ พวกโพลิเมอร์ อาจมีทั้งประจุลบ ไม่มีประจุ หรือมีทั่วประจุบวกลบ โปรตีนจากข้าวโอ๊ต ช่วยทำให้ผมเสียกลับสู่สภาพเดิม
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.thaicosderm.org/public-info/hair.htm
หรือสามารถส่งคำติชมมาได้ที่
penkhae5@thaimail.com

ผู้เขียนบล็อก
ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูผู้ฝึกการเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล


















Sunday, March 16, 2008

คำว่า "ทาส"


ทาส

ทาส หมายถึง บุคคลซึ่งถูกนับสิทธิเสมือนสิ่งของของผู้อื่น ไม่มีอิสระในการดำรงชีวิต และมีหน้าที่รับใช้ผู้อื่นโดยมิได้รับการตอบแทนจากเจ้าของ(นายทาส)เช่น การรับใช้ทางด้านแรงงาน และหากไม่เชื่อฟังคำสั่ง อาจถูกลงโทษได้ตามแต่นายทาสจะกำหนด ยกเว้นเป็นการกระทำอันทำให้ถึงแก่ความตาย

ชนิดของทาส

ในประเทศไทย ทาสได้ถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด (ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา โดยในสมัยก่อนหน้านั้นยังเป็นข้อถกเถียงของนักวิชาการ) ได้แก่
1.)ทาสสินไถ่- เป็นทาสที่มีมากที่สุดในบรรดาทาสทั้งหมด โดยเงื่อนไขของการเป็นทาสชนิดนี้ คือ การขายตัวเป็นทาส เช่น พ่อแม่ขายบุตร สามีขายภรรยา ดังนั้น ทาสชนิดนี้จึงเป็นคนยากจน ไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวหรือตนเองได้ จึงได้เกิดการขายทาสขึ้น โดยสามารถเปลี่ยนสถานะกลับไปเมื่อมีผู้มาไถ่ถอน
2.)ทาสในเรือนเบี้ย-เด็กที่เกิดขึ้นระหว่างที่แม่เป็นทาสของนายทาส ทาสชนิดนี้ไม่สามารถไถ่ถอนตนเองได้
3.)ทาสที่ได้รับมาด้วยมรดก - ทาสที่ตกเป็นมรดกของนายทาส เกิดขึ้นก่อต่อเมื่อนายทาสคนเดิมเสียชีวิตลง และได้มอบมรดกให้แก่นายทาสคนต่อไป
4.)ทาสท่านให้ - ทาสที่ได้รับมาจากผู้อื่น
5.)ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ - ในกรณีที่บุคคลนั้น เกิดกระทำความผิดและถูกลงโทษเป็นเงินค่าปรับ แต่บุคคลนั้น ไม่มีความสามารถในการชำระค่าปรับ หากว่ามีผู้ช่วยเหลือให้สามารถชำระค่าปรับได้แล้ว ถือว่าบุคคลนั้น เป็นทาสของผู้ให้ความช่วยเหลือในการชำระค่าปรับ
6.)ทาสที่ช่วยไว้ให้พ้นจากความอดอยาก - ในภาวะที่ไพร่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้ประกอบอาชีพได้แล้ว ไพร่อาจขายตนเองเป็นทาสเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือจากนายทาส
7.)ทาสเชลย - ภายหลังจากได้รับการชนะสงคราม ผู้ชนะสงครามจะกวาดต้อนผู้คนของผู้แพ้สงครามไปยังเมืองของตน เพื่อนำผู้คนเหล่านั้นไปเป็นทาสรับใช้

การพ้นจากความเป็นทาส

การพ้นจากความเป็นทาสสามารถเกิดขึ้นได้ จากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
1.)โดยการหาเงินมาไถ่ถอน
2.)การบวชเป็นสงฆ์โดยได้รับความยินยอมจากนายทาส
3.)ไปการสงครามและถูกจับเป็นเชลย หลังจากนั้น สามารถหลบหนีออกมาได้
4.)แต่งงานกับนายทาสหรือลูกหลานของนายทาส
5.)นายทาสถูกข้อหากบฏ
6.)การประกาศไถ่ถอนจากพระมหากษัตริย์ ในช่วงของการเลิกทาส

สามารถหาสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับทาสหรืออื่นๆได้อีกมากมายที่นี่
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AA
และสามารถเข้ามาติชมผู้เขียนได้อีกที่
penkhae5@thaimail.com

ผู้เขียนบล็อก
ด.ญ.เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนชั้นม.3/2 โรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูผู้ฝึกการเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล โรงเรียนขามสะแกแสง







Wednesday, March 12, 2008

อินเทอร์เน็ต ( Internet )

อินเตอร์เน็ต (Internet)

อินเตอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เกิดขึ้นจากระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เล็ก ๆ รวมกัน
ประวัติย่อ ๆ
รากฐานของอินเตอร์เนตเกิดขึ้นเมื่อประมาณ20ปีมาแล้วโดยเริ่มจากเครือข่าย ARPANET ของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาซึ่งมีความประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลวิจัยทางการทหารหลักจากนั้นระบบเครือข่ายย่อยอื่นๆก็ได้ทำการต่อเชื่อมและขยายแวดวงออกไปทั่วโลก ดังนั้นอินเตอร์เนตจึงไม่ได้เป็นของใครหรือของกลุ่มใดโดยเฉพาะ
ประโยชน์
- สามารถติดต่อกับคนได้ทั่วโลก- สามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล , ความคิดเห็น- สามารถใช้ช่วยในการค้นหาและโอนย้าย Software ต่าง ๆ มาได้ฟรี- สามารถค้นคว้าวิจัย เปรียบเหมือนคุณเข้าห้องสมุดไปศึกษาค้นคว้าหนังสือต่าง ๆ โดยที่ตัวคนเองไม่ต้องไปยังห้องสมุดนั้น- สามารถอ่านข่าวสารของกลุ่มสนทนาต่าง ๆ- สามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ทั่วโลก เช่น พิพิธภัณฑ์ , สวนสัตว์ เป็นต้น

บริการต่าง ๆของอินเทอร์เนต
1. ไปรษณีย์อิเลคทรอนิคส์ (Electronic Mail หรือ E-mail)
เป็นบริการหนึ่งบนอินเทอร์เนตที่คนนิยมใช้กันมากคือส่งจดหมายโดยทางคอมพิวเตอร์ถึงผู้ที่มีบัญชีอินเทอร์เนต ด้วยกันไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลคนละซีกโลกจดหมายก็จะไปถึงอย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายดายโปรแกรมที่ใช้ ในการรับ-ส่งจดหมายอิเลคทรอนิคส์นั้นมี หลายโปรแกรมด้วยกันแล้วแต่จะเลือก ใช้ตาม ความ ชอบหรือความถนัด โปรแกรมที่พูดถึงก็เช่น Eudora, Pine, Netscape Mail, Micorsoft Explorer และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นต้น
2. World Wide Web (www) เป็นการเข้าสู่ระบบข้อมูลอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นที่ฮิตสุดบนอินเทอร์เนต ข้อมูลนี้จะอยู่ในรูปของ Interactive Multimedia คือ มีทั้งรูปภาพ ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว เสียง และวีดีโอ อีกทั้งข้อมูลเหล่านี้ยังใช้ระบบที่เรียกว่า hypertext กล่าวคือ จะมีคำสำคัญหรือรูปภาพในข้อมูลนั้นที่จะช่วยให้ท่านเข้าสู่รายละเอียดที่ลึกและกว้างขวางยิ่งขึ้น คำสำคัญดังกล่าวจะเป็นคำที่เป็นตัวหนา หรือขีดเส้นใต้ เพียงแต่ท่านเลือกกดที่คำที่เป็นตัวหนาหรือขีดเส้นใต้ นั้น ๆ ท่านก็สามารถเข้าสู่ข้อมูลเพิ่มเติมได้ (ข้อมูลเหล่านี้จะมีผู้สร้างขึ้นมาและเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ทั่วโลก)
3. FTP (File Transfer Protocol)
คือบริการที่ใช้ในการโอนย้ายfileหรือข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกคอมพิวเตอร์หนึ่งในเครือข่ายอินเทอร์เนตถ้าเครื่องนั้นๆต่อเข้ากับระบบที่เป็นอินเทอร์เนตก็สามารถโอนย้ายข้อมูลกันได้เครื่อง คอมพิวเตอร์บางที่นั้นจะทำหน้าที่ เป็นศูนย์รวมของข้อมูลต่าง ๆ เช่น รูปภาพ , ข้อความ , บทความ , คู่มือ และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เป็น Freeware หรือ Shareware เและเปิดให้เข้าไปโอนย้านมาได้ฟรี โปรแกรมที่จะช่วยในการโอนย้ายข้อมูล ก็เช่น Netscape,
4.Telnet
เป็นบริการที่ช่วยให้เราสามารถเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นเสมือนหนึ่งไปนั่งใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของที่นั่นโปรแกรมที่ช่วยให้ท่านใช้บริการนี้ได้คือโปรแกรมNCSATelnetเมื่อเปิดโปรแกรมแล้วให้พิมพ์คำสั่งTelnetดังในรูปภาพข้างล่างเมื่อท่านใช้คำสั่งTelnetแล้วให้พิมพ์ที่อยู๋ของแหล่งข้อมูลนั้นท่านก็จะสามารถเข้าสู่ระบบข้อมูลนั้น้เสมือนท่านไปนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเครื่อง ๆ นั้นเลยทีเดียว ระบบ Telnet
5. Usenet / News groups
เป็นบริการที่ช่วยให้ท่านเข้าสู่ข่าวสารข้อมูลของกลุ่มสนทนาแลกเปลี่ยนปัญหาข้อสงสัยข่าวสารต่างๆกลุ่มเหล่านี้จะมีสารพัดกลุ่มตามความสนใจ โปรแกรมที่ช่วยให้ท่านใช้บริการนี้ คือ โปรแกรม Netscape News ที่อยู่ใน โปรแกรม NetscapeNavigatorGold3.0เมือเปิดโปรแกรมดังกล่าวจากนั้นรายชื่อของกลุ่มสนทนาจะปรากฎขึ้นให้ท่านเลือกอ่านตามใจ


ที่มาของเนื้อหา / ข้อมูล สามารถหาเพิ่มเติมได้ที่
http://se-ed.net/cybercom/computer/c7.html

ผู้เขียนบล็อก
ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง
นักเรียนชั้นม.3/2
โรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูผู้สอนการการเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล

Tuesday, March 4, 2008

ผ้าไหมไทย>>>>คุณค่าสู่สากล

การปฎิบัติรักษาผ้าไหมไทย
เนื่องจากผ้าไหมมีราคาแพง การตัดเย็บ การซักรีด และเก็บรักษา ก็ยุ่งยาก และยังต้องระมัดระวัง ดังนั้น เมื่อมีผ้าไหมแล้วจึงต้องรู้จักวิธีปฏิบัติรักษา และทนุถนอมให้มาก เพื่อจะได้ใช้สอยนาน ๆ







คุณสมบัติอันมีค่าคุณสมบัติอันมีค่าของผ้าไหมไทยที่มีชื่อขจรขจายไปสู่ทุกภูมิภาคของโลก (จากการมอง) มีสองลักษณะคือ
1.การมองในลักษณะภายนอก คือผ้าไหมไทยนั้น เมื่อมองแล้วจะมีความงามเป็นประกาย มีความตรึงใจ และทำให้หลงใหลในสีสันอันงดงาม และดูภูมิฐานเมื่อใครได้สวมใส่ผ้าไหมไทย จะแสดงถึงความมีรสนิยมสูง 2.การมองในลักษณะของการได้สวมใส่หรือสัมผัส เมื่อได้สวมใส่ผ้าไหมแล้วทำให้เกิดความสุขและความภูมิใจ คุณสมบัติที่เบาตัวของผ้าไหม ทำให้มีความรู้สึกสบาย
ผ้าไหมไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นราชินีของเส้นใยทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน ผ้าไหมหรือผลิตภัณฑ์จากไหมนั้นบอบบาง จึงต้องปฏิบัติรักษาอย่างพิถีพิถันอย่างน้อยทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่า คุณสมบัติต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติรักษา เคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวัง ความสุข ความเบาสบาย ความภูมิใจ จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราจะไม่ทำการรักษาคุณภาพอันดีเลิศของผลิตภัณฑ์ จากไหมทุกชนิดให้อยู่ในสภาพที่น่าหยิบ น่าเป็นเจ้าของและน่าสวมใส่








การปฎิบัติรักษาผ้าไหมไทย

เมื่อได้ทราบถึงคุณสมบัติต่าง ๆ แล้ว ผู้เขียนก็อยากจะอธิบายถึงการปฏิบัติรักษาผ้าไหมไทยดังต่อไปนี้คือ
1.การตัดเย็บ ขั้นแรกให้จุ่มผ้าไหมลงในน้ำร้อน เพื่อไล่สีที่หลงเหลือหรือสีที่ไม่สามารถจับติดในเนื้อผ้าไหมให้ออกไป นอกจากนี้แล้วยังทำให้มีความงามเป็นประกายดีขึ้น หลังจากนั้นรีดผ้าไหมทางด้านหลังด้วยไฟอ่อน ๆ โดยพ่นน้ำเพียงเล็กน้อยก่อนรีด พึงระลึกเสมอว่า ให้พ่นฉีดน้ำบาง ๆ เท่านั้น อย่าถึงกับให้เปียกเพราะ ถ้าเปียกเวลารีดแล้วอาจทำให้ผ้าเกิดเป็นจุดที่ไม่สวยงาม หลังจากนั้นแล้วจึงจัดเส้นลายผ้าให้ตรง แล้วจึงทำการตัดและเย็บด้วยเข็มและด้ายที่เหมาะสมของคุณภาพผ้า
2.การรีด การรีดโดยทั่วไปหรือการรีดลบรอยย่นหลังจากตัดเย็บแล้วหรือหลังจากการสวมใส่อุณหภูมิที่เหมาะสมในการรีดผ้าไหมโดยทั่วไป ควรรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระหว่าง 120 - 140 องศาเซลเซียส และการรีด ควรมีผ้าฝ้ายหนา ๆ ทับบนผ้าไหม เพื่อป้องกันการสัมผัสผ้าไหมกับเตารีดโดยตรง ถ้าสัมผัสโดยตรงจะทำให้คุณสมบัติต่าง ๆ ของผ้าไหมสูญเสียไปได้
3.การซัก ซักแห้งนับว่าเหมาะสมที่สุด แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะซักแบบธรรมดาควรใช้สารที่มีคุณภาพเป็นกลางในน้ำอุ่นให้ทั่ว อย่าให้ผ้าไหมกองหรือพับติดกัน หลังจากซักแล้วให้บิดเบา ๆ นำไปผึ่งในที่ร่ม ห้ามผึ่งแดดโดยเด็ดขาด
4.การระมัดระวังและเก็บรักษา หลังจากสวมใส่ทุกครั้งให้ตรวจสอบสิ่งสกปรกที่ติดอยู่อย่างระมัดระวัง ผึ่งให้เสื้อผ้าคงรูปเดิมในที่ ๆ มีการถ่ายเทอากาศที่ดีปราศจากฝุ่นละออง ถ้าเสียรูปร่างหรือรอยยับให้ใช้เตารีด รีดให้เรียบ การเตรียมการเก็บรักษา ก่อนเก็บเสื้อผ้าต้องอยู่ในสภาพเรียบไม่มีรอยยับแห้งและสะอาดอยู่เสมอ




กว่าจะได้มาเป็นผ้าไหมไทย

ท่านต้องเห็นใจเกษตรกรด้วยว่ากระดูกสันหลังของชาตินั้น กว่าจะปลูกหม่อนเพื่อใช้เลี้ยงไหมได้ต้องใช้เวลาถึง 1 ปี เมื่อมีใบหม่อนแล้วก็ต้องทำการเลี้ยงไหมอีกประมาณ 20 - 25 วัน จึงจะได้รังไหม ในระยะเวลาดังกล่าวก็จะต้องเก็บใบหม่อนมาเลี้ยงไหม โดยให้ใบหม่อนวันละ 3 - 5 ครั้ง ต้องคอยดูแลรักษาความสะอาด ป้องกันโรคแมลงไม่ให้กล้ำกรายตัวไหม เมื่อครบกำหนดแล้วไหมก็ทำรัง โดยพ่นเส้นใยไหมให้เสร็จแล้วก็ต้องมานั่งดึงเอาเส้นใย (สาวไหม) ให้เป็นเส้นไหมตามที่ต้องการ เสร็จแล้วก็นำไปฟอก ไปมัดลาย ไปย้อม ไปขึ้นกี่ทอผ้า
ดังนั้นขบวนการผลิตผ้าไหม หรือผลิตภัณฑ์จากไหมนั้นต้องใช้เวลา แรงงาน และความตั้งใจ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสวยงาม
ถ้าท่านใช้ผ้าไหมแล้วมีการปฏิบัติรักษาที่ดี ก็จะทำให้ผ้าไหมมีอายุการใช้งานได้นาน เป็นที่นิยมกันแพร่หลายต่อไป เกษตรกรก็คงจะยึดเป็นอาชีพที่มั่นคง ตลอดจนชื่อเสียงของผ้าไหมไทยนั้นก็จะยืนยง คู่ชาติสืบไป


สามารถหาข้อมูลผ้าไหมไทยเพิ่มเติมได้ที่ http://www.doae.go.th/library/html/detail/mait/index.html
หรือสามารถเข้ามาติชมผู้เขียนบล็อกได้ที่
penkhae5@thaimail.com

ผู้เขียนบล็อก
เด็กหญิง เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2