Friday, March 28, 2008

การดูแลเส้นผม....


ผมสลวยสวยขำ ดำเป็นเงา เป็นท่อนเนื้อเพลงสมัยเก่า ที่บรรยายความงาม ของเส้นผมของผู้หญิง เป็นลักษณะของเส้นผม ที่ท่านหญิงทุกคนปรารถนา ที่ทำให้เส้นผมนั้น ดำเป็นเงา ตั้งแต่วัยรุ่น จนถึงวัยชรา แต่ทุกอย่างล้วนอนิจจัง เส้นผมก็เดียวกัน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ตามสภาวะแวดล้อม ธรรมชาติ และทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ การย้อม การดัด การเข้าใจ ลักษณะทางกายภาพ และส่วนประกอบของเส้นผม จะทำให้คุณได้เข้าใจได้ดีขึ้น

เส้นผม ประกอบด้วยเซลล์ 3 ชั้น
ชั้นนอก เรียก คิวติเกิล (cuticle)

ชั้นกลาง เรียก คอรเทก (cortex)
ชั้นใน เรียก เม็ดดัลลา (medulla)

ชั้นนอก
มีประมาณ 6-10 ชั้น ตรงโคนหนากว่าปลายเส้นผม เซลล์จะเรียงต่อ ทับกัน เหมือนกับ การสร้างหลังคาบ้าน ปลายที่เป็นอิสระ จะชี้ไปทางปลายเส้นผม แต่ละเซลล์ ประกอบด้วยชั้นต่างๆอีก 3 ชั้น ผมจะสวยหรือไม่สวย อยู่ที่ชั้นนี้
ชั้นกลาง
เป็นส่วนประกอบ ที่ทำให้เส้นผมแข็งแรง มีเส้นใยเล็กๆ ทอดยาว ตลอดความยาวเส้นผม พูดง่าย ๆ เหมือน ก้านธูปหลายก้าน ที่มัดไว้เป็นห่อ ในแต่ละ 1 เส้นใย ประกอบด้วยใยเล็กๆ อยู่รวมกัน เป็นเส้นใยใหญ่ 1 เส้น เส้นใยใหญ่ นี้อยู่ในเซลล์ ที่ชื่อว่า พาราคอร์เทก (paracortex) อีกทีหนึ่ง คนที่มีเส้นผมหยักโศก เซลล์จะเป็นพาราคอร์เทก ส่วนผมม้วนหยิก เช่น นิโกร เป็นเซลล์ที่เรียกว่า พาราคอร์เทก ผสมออโทคอร์เทก (เซลล์มีอยู่กันแน่นน้อยกว่า อีกแบบหนึ่ง)
ชั้นใน
ประกอบด้วยเซลล์ ที่มีโพรงอากาศอยู่ อาจมีอยู่ติดต่อกันทั้งเส้น หรืออยู่เป็นระยะ ๆ หรือบางทีไม่มี
ส้นผม ประกอบด้วย น้ำ โปรตีน 65-95% และกรดอมิโน อาจมีไขมัน เม็ดสี ธาตุโลหะปนเล็กน้อย กรดอมิโน เป็น ซีสเตอีน โปรลิน ลิวซิน ฯลฯ ถ้าเอาเส้นผมแช่น้ำ น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น 12-18% การดูดซึมเร็วมาก ใช้เวลา 4 นาที ถ้าอากาศมีความชื้นสูง การดูดซึมก็สูงขึ้น ไขมันของเส้นผมเพิ่มขึ้น เมื่อวัยหนุ่มสาว และลดลง โดยเฉพาะผู้หญิง ที่มีอายุมากขึ้น ส่วนของผู้ชาย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก ดังนั้นผู้หญิงวัยกลางคน ผมจะแห้งกรอบ ผิดสังเกต แร่ธาตุในเส้นผม มีปนกันไม่ถึง 1% มีโลหะ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี โซเดียม โปตัสเซียม ฯลฯ
การหวี การแปรงผม การฟอกสีผม การย้อมผม หรืออาจเกิดจาก การเสียดสี การเปียกน้ำ การโดนรังสี ชั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง คือ ชั้นนอกและชั้นกลาง ปลายของเซลล์ชั้นนอก จะยกขึ้นและแตกออก และหลุดออก ทำให้เส้นผมไม่มีเซลล์ชั้นนอก อาจทำให้ปลายเส้นผมแตก หรือเส้นผมตรงกลาง เป็นร่องลึก ความยาว หรือความขวาง หรือผมหักมองดูเป็นปุ๋มสีขาว ถ้าเกิดจากการย้อม หรือดัดถาวร ทำให้เส้นผมบิด การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มักเกิดที่ปลายเส้นผม


เส้นผมหัก
เป็นอาการรุนแรงของ ความผิดปกติของเส้นผม อาจเป็นเพราะกรรมพันธ์ หรือใช้เครื่องสำอางมากเกินไป ทำให้เส้นผมเปราะบาง หักและไม่ยาว ในบางราย เกิดจากการ ใช้ยาสระผม การแปรงผม และตากแสงแดดมากไป ในบางคนเกิดจาก น้ำยายืดผม ความเปลี่ยนแปลงเริ่มต้น จากเซลล์ชั้นนอก มีโพรงอากาศในเซลล์ เมื่อเส้นผมหัก เริ่มแรกอาจเรียก เส้นผมร้าว เมื่อเส้นผมหักหลุดไปแล้ว จึงเหลือเป็นเส้นผมแตก บางรายอาจแตกตามยาวตรงกลาง แต่ปลายเส้นผมดีก็มี บางรายอาจแตกตรงชั้นนอก ชั้นเดียวก็ได้ หรือหักชนิด โดยที่ไม่มีการแตกปลาย
สีเส้นผม
อาจเปลี่ยนสีได้ เมื่อสัมผัสกับแสงแดดนานๆ จากสีดำกลายเป็นสีน้ำตาลแดง แสงแดดยังทำให้ ผมแห้งกรอบ อ่อน ผิวขรุขระ สีจางไร้เงา บางทีแข็งแต่เปราะ มีการทำลายผิวชั้นนอก ของเส้นผมก่อนที่จะ เข้าทำลายชั้นกลาง อนุมูลอิสระ ที่เกิดจากแสงแดด จะถูกดูดซับโดย กรดอมิโน เช่น ซีสตีน ไทโรซิน เฟนนิลอลานิน และทริปโตแฟน ทำให้ตัวเชื่อมไดซัลไฟด์เสียหาย เหมือนกับน้ำยาดัดผม ถ้าปฎิกิริยารุนแรง ความแข็งแกร่งของเส้นผม จะลดลง ดังนั้น ในครีมนวดผม หรือเจลแต่งผมบางชนิด ผสมตัวยากันแดด เพื่อช่วยป้องกันอันตราย จากแสงแดด ดังนั้นหลังจาก การฟอกสี และการดัดผม ควรที่จะป้องกันอันตราย จากแสงแดด เพราะอาจทำให้เส้นผมหักได้ ทั้งนี้เกิดจาก บางส่วนของเซลล์ชั้นนอก ถูกทำลายไปก่อนแล้ว จากยาสระผม
สภาวะของเส้นผมที่พบประจำไข่เหาเทียม
เป็นปรากฎการณ์ อย่างหนึ่งที่เป็นเยื่อหุ้มขาว ๆ อยู่รอบเส้นผม มองดูไกลๆ นึกว่าเป็นไข่เหา ใช้แชมพูสระผมแก้รังแค ก็ไม่หลุด เป็นเพราะเยื่อหุ้มนี้ เกิดจากเยื่อหุ้มของรากผม บางที อาจเกิดจากการใช้สเปรย์ หรือการทำทรงผมที่ใช้แรงดึง
เส้นผมกลวง
คือมีฟองอากาศ หรือช่องว่างในเส้นผม ซึ่งแตกหักง่าย มักเกิดจาก มีการทำลายเส้นผม มาเป็นเวลานาน จากการเป่าร้อนเกินไป การใช้โรลล์ม้วนผมไฟฟ้า น้ำคลอรีนในสระว่ายน้ำ การทำให้สีผมจาง การแก้ไข โดยการใช้ระบบ การดูแลเส้นผม (hair care) ที่อ่อนนุ่มละไม จึงจะสามารถป้องกัน การเกิดเหล่านี้ได้

การผสมแชมพู
ใส่สารต่างๆ อยู่ในเนื้อเดียวกัน ใส่ความเข้มข้นเท่าใด จึงจะพอดี ไม่ให้เส้นผมแห้งเกินไป หรือถ้าใช้กับผมแห้ง ก็เพิ่มเงาในตัว นอกจากให้ผมสวยแล้ว ต้องทำความสะอาดดีด้วย แล้วเติมสารบำรุงเส้นผม เรียบร้อยในตัว บางทีใส่สารดูแลเส้นผมเพิ่ม เพิ่มความนุ่มนวลของเส้นผม ตัวควบคุม ความเป็นกรดเป็นด่าง ยากันบูด น้ำหอม สี ฯลฯ การใส่สารบำรุงเส้นผม เพื่อให้ผมนุ่ม เป็นมัน ลดการกระเซิงและหวีง่าย โดยเฉพาะผมแห้ง และผมที่ถูกทำลาย อาจใส่สาร เช่น ลาโนลิน น้ำมันพืช ขี้ผึ้งต่างๆ ไขมัน แอลกอฮอล์ เลซิติน กรดไขมัน โปรตีน เช่น คอลลาเจน เคราติน สารสกัดจากข้าว และถั่วเหลือง ซิลิโคน ไวตามิน สารกันแดด แพนทีนอล ที่สำคัญ คือสารประจุบวก และซิลิโคน ซึ่งเป็นการบุกเบิกก้าวใหม่ ของสารดูแลเส้นผม อย่างที่กล่าวแล้วว่า สารโพลีเมอร์ประจุบวก ทำให้ผมนิ่ม และเรียบ ลดการเสียดสี เมื่อหวีผม และลดประจุไฟฟ้าสถิตย์ ใช้ร่วมกับแชมพูประจุลบไม่ได้ สารโพลิเมอร์ประจุบวกแตกต่าง จากสารเกิดฟองประจุบวก สามารถซึมเข้าไปในเส้นผม เคลือบผิวเส้นผมให้เรียบ เมื่อสระล้างแล้ว ทำให้เส้นผมสวยและหวีง่าย และยังป้องกันอันตราย จากสิ่งภายนอก สารพวกนี้ได้แก่ กลุ่มเซลลูโลส แป้ง ยาง ไชตีน ซิลิโคน ฯลฯ พวกโพลิเมอร์ อาจมีทั้งประจุลบ ไม่มีประจุ หรือมีทั่วประจุบวกลบ โปรตีนจากข้าวโอ๊ต ช่วยทำให้ผมเสียกลับสู่สภาพเดิม
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.thaicosderm.org/public-info/hair.htm
หรือสามารถส่งคำติชมมาได้ที่
penkhae5@thaimail.com

ผู้เขียนบล็อก
ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูผู้ฝึกการเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล


















Sunday, March 16, 2008

คำว่า "ทาส"


ทาส

ทาส หมายถึง บุคคลซึ่งถูกนับสิทธิเสมือนสิ่งของของผู้อื่น ไม่มีอิสระในการดำรงชีวิต และมีหน้าที่รับใช้ผู้อื่นโดยมิได้รับการตอบแทนจากเจ้าของ(นายทาส)เช่น การรับใช้ทางด้านแรงงาน และหากไม่เชื่อฟังคำสั่ง อาจถูกลงโทษได้ตามแต่นายทาสจะกำหนด ยกเว้นเป็นการกระทำอันทำให้ถึงแก่ความตาย

ชนิดของทาส

ในประเทศไทย ทาสได้ถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด (ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา โดยในสมัยก่อนหน้านั้นยังเป็นข้อถกเถียงของนักวิชาการ) ได้แก่
1.)ทาสสินไถ่- เป็นทาสที่มีมากที่สุดในบรรดาทาสทั้งหมด โดยเงื่อนไขของการเป็นทาสชนิดนี้ คือ การขายตัวเป็นทาส เช่น พ่อแม่ขายบุตร สามีขายภรรยา ดังนั้น ทาสชนิดนี้จึงเป็นคนยากจน ไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวหรือตนเองได้ จึงได้เกิดการขายทาสขึ้น โดยสามารถเปลี่ยนสถานะกลับไปเมื่อมีผู้มาไถ่ถอน
2.)ทาสในเรือนเบี้ย-เด็กที่เกิดขึ้นระหว่างที่แม่เป็นทาสของนายทาส ทาสชนิดนี้ไม่สามารถไถ่ถอนตนเองได้
3.)ทาสที่ได้รับมาด้วยมรดก - ทาสที่ตกเป็นมรดกของนายทาส เกิดขึ้นก่อต่อเมื่อนายทาสคนเดิมเสียชีวิตลง และได้มอบมรดกให้แก่นายทาสคนต่อไป
4.)ทาสท่านให้ - ทาสที่ได้รับมาจากผู้อื่น
5.)ทาสที่ช่วยไว้จากทัณฑ์โทษ - ในกรณีที่บุคคลนั้น เกิดกระทำความผิดและถูกลงโทษเป็นเงินค่าปรับ แต่บุคคลนั้น ไม่มีความสามารถในการชำระค่าปรับ หากว่ามีผู้ช่วยเหลือให้สามารถชำระค่าปรับได้แล้ว ถือว่าบุคคลนั้น เป็นทาสของผู้ให้ความช่วยเหลือในการชำระค่าปรับ
6.)ทาสที่ช่วยไว้ให้พ้นจากความอดอยาก - ในภาวะที่ไพร่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้ประกอบอาชีพได้แล้ว ไพร่อาจขายตนเองเป็นทาสเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือจากนายทาส
7.)ทาสเชลย - ภายหลังจากได้รับการชนะสงคราม ผู้ชนะสงครามจะกวาดต้อนผู้คนของผู้แพ้สงครามไปยังเมืองของตน เพื่อนำผู้คนเหล่านั้นไปเป็นทาสรับใช้

การพ้นจากความเป็นทาส

การพ้นจากความเป็นทาสสามารถเกิดขึ้นได้ จากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
1.)โดยการหาเงินมาไถ่ถอน
2.)การบวชเป็นสงฆ์โดยได้รับความยินยอมจากนายทาส
3.)ไปการสงครามและถูกจับเป็นเชลย หลังจากนั้น สามารถหลบหนีออกมาได้
4.)แต่งงานกับนายทาสหรือลูกหลานของนายทาส
5.)นายทาสถูกข้อหากบฏ
6.)การประกาศไถ่ถอนจากพระมหากษัตริย์ ในช่วงของการเลิกทาส

สามารถหาสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับทาสหรืออื่นๆได้อีกมากมายที่นี่
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AA
และสามารถเข้ามาติชมผู้เขียนได้อีกที่
penkhae5@thaimail.com

ผู้เขียนบล็อก
ด.ญ.เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนชั้นม.3/2 โรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูผู้ฝึกการเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล โรงเรียนขามสะแกแสง







Wednesday, March 12, 2008

อินเทอร์เน็ต ( Internet )

อินเตอร์เน็ต (Internet)

อินเตอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เกิดขึ้นจากระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เล็ก ๆ รวมกัน
ประวัติย่อ ๆ
รากฐานของอินเตอร์เนตเกิดขึ้นเมื่อประมาณ20ปีมาแล้วโดยเริ่มจากเครือข่าย ARPANET ของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาซึ่งมีความประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลวิจัยทางการทหารหลักจากนั้นระบบเครือข่ายย่อยอื่นๆก็ได้ทำการต่อเชื่อมและขยายแวดวงออกไปทั่วโลก ดังนั้นอินเตอร์เนตจึงไม่ได้เป็นของใครหรือของกลุ่มใดโดยเฉพาะ
ประโยชน์
- สามารถติดต่อกับคนได้ทั่วโลก- สามารถใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล , ความคิดเห็น- สามารถใช้ช่วยในการค้นหาและโอนย้าย Software ต่าง ๆ มาได้ฟรี- สามารถค้นคว้าวิจัย เปรียบเหมือนคุณเข้าห้องสมุดไปศึกษาค้นคว้าหนังสือต่าง ๆ โดยที่ตัวคนเองไม่ต้องไปยังห้องสมุดนั้น- สามารถอ่านข่าวสารของกลุ่มสนทนาต่าง ๆ- สามารถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ทั่วโลก เช่น พิพิธภัณฑ์ , สวนสัตว์ เป็นต้น

บริการต่าง ๆของอินเทอร์เนต
1. ไปรษณีย์อิเลคทรอนิคส์ (Electronic Mail หรือ E-mail)
เป็นบริการหนึ่งบนอินเทอร์เนตที่คนนิยมใช้กันมากคือส่งจดหมายโดยทางคอมพิวเตอร์ถึงผู้ที่มีบัญชีอินเทอร์เนต ด้วยกันไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลคนละซีกโลกจดหมายก็จะไปถึงอย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายดายโปรแกรมที่ใช้ ในการรับ-ส่งจดหมายอิเลคทรอนิคส์นั้นมี หลายโปรแกรมด้วยกันแล้วแต่จะเลือก ใช้ตาม ความ ชอบหรือความถนัด โปรแกรมที่พูดถึงก็เช่น Eudora, Pine, Netscape Mail, Micorsoft Explorer และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นต้น
2. World Wide Web (www) เป็นการเข้าสู่ระบบข้อมูลอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นที่ฮิตสุดบนอินเทอร์เนต ข้อมูลนี้จะอยู่ในรูปของ Interactive Multimedia คือ มีทั้งรูปภาพ ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว เสียง และวีดีโอ อีกทั้งข้อมูลเหล่านี้ยังใช้ระบบที่เรียกว่า hypertext กล่าวคือ จะมีคำสำคัญหรือรูปภาพในข้อมูลนั้นที่จะช่วยให้ท่านเข้าสู่รายละเอียดที่ลึกและกว้างขวางยิ่งขึ้น คำสำคัญดังกล่าวจะเป็นคำที่เป็นตัวหนา หรือขีดเส้นใต้ เพียงแต่ท่านเลือกกดที่คำที่เป็นตัวหนาหรือขีดเส้นใต้ นั้น ๆ ท่านก็สามารถเข้าสู่ข้อมูลเพิ่มเติมได้ (ข้อมูลเหล่านี้จะมีผู้สร้างขึ้นมาและเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ทั่วโลก)
3. FTP (File Transfer Protocol)
คือบริการที่ใช้ในการโอนย้ายfileหรือข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกคอมพิวเตอร์หนึ่งในเครือข่ายอินเทอร์เนตถ้าเครื่องนั้นๆต่อเข้ากับระบบที่เป็นอินเทอร์เนตก็สามารถโอนย้ายข้อมูลกันได้เครื่อง คอมพิวเตอร์บางที่นั้นจะทำหน้าที่ เป็นศูนย์รวมของข้อมูลต่าง ๆ เช่น รูปภาพ , ข้อความ , บทความ , คู่มือ และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เป็น Freeware หรือ Shareware เและเปิดให้เข้าไปโอนย้านมาได้ฟรี โปรแกรมที่จะช่วยในการโอนย้ายข้อมูล ก็เช่น Netscape,
4.Telnet
เป็นบริการที่ช่วยให้เราสามารถเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นเสมือนหนึ่งไปนั่งใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของที่นั่นโปรแกรมที่ช่วยให้ท่านใช้บริการนี้ได้คือโปรแกรมNCSATelnetเมื่อเปิดโปรแกรมแล้วให้พิมพ์คำสั่งTelnetดังในรูปภาพข้างล่างเมื่อท่านใช้คำสั่งTelnetแล้วให้พิมพ์ที่อยู๋ของแหล่งข้อมูลนั้นท่านก็จะสามารถเข้าสู่ระบบข้อมูลนั้น้เสมือนท่านไปนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเครื่อง ๆ นั้นเลยทีเดียว ระบบ Telnet
5. Usenet / News groups
เป็นบริการที่ช่วยให้ท่านเข้าสู่ข่าวสารข้อมูลของกลุ่มสนทนาแลกเปลี่ยนปัญหาข้อสงสัยข่าวสารต่างๆกลุ่มเหล่านี้จะมีสารพัดกลุ่มตามความสนใจ โปรแกรมที่ช่วยให้ท่านใช้บริการนี้ คือ โปรแกรม Netscape News ที่อยู่ใน โปรแกรม NetscapeNavigatorGold3.0เมือเปิดโปรแกรมดังกล่าวจากนั้นรายชื่อของกลุ่มสนทนาจะปรากฎขึ้นให้ท่านเลือกอ่านตามใจ


ที่มาของเนื้อหา / ข้อมูล สามารถหาเพิ่มเติมได้ที่
http://se-ed.net/cybercom/computer/c7.html

ผู้เขียนบล็อก
ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง
นักเรียนชั้นม.3/2
โรงเรียนขามสะแกแสง
คุณครูผู้สอนการการเขียนบล็อก
คุณครู เพียรผจง เนตระกูล

Tuesday, March 4, 2008

ผ้าไหมไทย>>>>คุณค่าสู่สากล

การปฎิบัติรักษาผ้าไหมไทย
เนื่องจากผ้าไหมมีราคาแพง การตัดเย็บ การซักรีด และเก็บรักษา ก็ยุ่งยาก และยังต้องระมัดระวัง ดังนั้น เมื่อมีผ้าไหมแล้วจึงต้องรู้จักวิธีปฏิบัติรักษา และทนุถนอมให้มาก เพื่อจะได้ใช้สอยนาน ๆ







คุณสมบัติอันมีค่าคุณสมบัติอันมีค่าของผ้าไหมไทยที่มีชื่อขจรขจายไปสู่ทุกภูมิภาคของโลก (จากการมอง) มีสองลักษณะคือ
1.การมองในลักษณะภายนอก คือผ้าไหมไทยนั้น เมื่อมองแล้วจะมีความงามเป็นประกาย มีความตรึงใจ และทำให้หลงใหลในสีสันอันงดงาม และดูภูมิฐานเมื่อใครได้สวมใส่ผ้าไหมไทย จะแสดงถึงความมีรสนิยมสูง 2.การมองในลักษณะของการได้สวมใส่หรือสัมผัส เมื่อได้สวมใส่ผ้าไหมแล้วทำให้เกิดความสุขและความภูมิใจ คุณสมบัติที่เบาตัวของผ้าไหม ทำให้มีความรู้สึกสบาย
ผ้าไหมไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นราชินีของเส้นใยทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน ผ้าไหมหรือผลิตภัณฑ์จากไหมนั้นบอบบาง จึงต้องปฏิบัติรักษาอย่างพิถีพิถันอย่างน้อยทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่า คุณสมบัติต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติรักษา เคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวัง ความสุข ความเบาสบาย ความภูมิใจ จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราจะไม่ทำการรักษาคุณภาพอันดีเลิศของผลิตภัณฑ์ จากไหมทุกชนิดให้อยู่ในสภาพที่น่าหยิบ น่าเป็นเจ้าของและน่าสวมใส่








การปฎิบัติรักษาผ้าไหมไทย

เมื่อได้ทราบถึงคุณสมบัติต่าง ๆ แล้ว ผู้เขียนก็อยากจะอธิบายถึงการปฏิบัติรักษาผ้าไหมไทยดังต่อไปนี้คือ
1.การตัดเย็บ ขั้นแรกให้จุ่มผ้าไหมลงในน้ำร้อน เพื่อไล่สีที่หลงเหลือหรือสีที่ไม่สามารถจับติดในเนื้อผ้าไหมให้ออกไป นอกจากนี้แล้วยังทำให้มีความงามเป็นประกายดีขึ้น หลังจากนั้นรีดผ้าไหมทางด้านหลังด้วยไฟอ่อน ๆ โดยพ่นน้ำเพียงเล็กน้อยก่อนรีด พึงระลึกเสมอว่า ให้พ่นฉีดน้ำบาง ๆ เท่านั้น อย่าถึงกับให้เปียกเพราะ ถ้าเปียกเวลารีดแล้วอาจทำให้ผ้าเกิดเป็นจุดที่ไม่สวยงาม หลังจากนั้นแล้วจึงจัดเส้นลายผ้าให้ตรง แล้วจึงทำการตัดและเย็บด้วยเข็มและด้ายที่เหมาะสมของคุณภาพผ้า
2.การรีด การรีดโดยทั่วไปหรือการรีดลบรอยย่นหลังจากตัดเย็บแล้วหรือหลังจากการสวมใส่อุณหภูมิที่เหมาะสมในการรีดผ้าไหมโดยทั่วไป ควรรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระหว่าง 120 - 140 องศาเซลเซียส และการรีด ควรมีผ้าฝ้ายหนา ๆ ทับบนผ้าไหม เพื่อป้องกันการสัมผัสผ้าไหมกับเตารีดโดยตรง ถ้าสัมผัสโดยตรงจะทำให้คุณสมบัติต่าง ๆ ของผ้าไหมสูญเสียไปได้
3.การซัก ซักแห้งนับว่าเหมาะสมที่สุด แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะซักแบบธรรมดาควรใช้สารที่มีคุณภาพเป็นกลางในน้ำอุ่นให้ทั่ว อย่าให้ผ้าไหมกองหรือพับติดกัน หลังจากซักแล้วให้บิดเบา ๆ นำไปผึ่งในที่ร่ม ห้ามผึ่งแดดโดยเด็ดขาด
4.การระมัดระวังและเก็บรักษา หลังจากสวมใส่ทุกครั้งให้ตรวจสอบสิ่งสกปรกที่ติดอยู่อย่างระมัดระวัง ผึ่งให้เสื้อผ้าคงรูปเดิมในที่ ๆ มีการถ่ายเทอากาศที่ดีปราศจากฝุ่นละออง ถ้าเสียรูปร่างหรือรอยยับให้ใช้เตารีด รีดให้เรียบ การเตรียมการเก็บรักษา ก่อนเก็บเสื้อผ้าต้องอยู่ในสภาพเรียบไม่มีรอยยับแห้งและสะอาดอยู่เสมอ




กว่าจะได้มาเป็นผ้าไหมไทย

ท่านต้องเห็นใจเกษตรกรด้วยว่ากระดูกสันหลังของชาตินั้น กว่าจะปลูกหม่อนเพื่อใช้เลี้ยงไหมได้ต้องใช้เวลาถึง 1 ปี เมื่อมีใบหม่อนแล้วก็ต้องทำการเลี้ยงไหมอีกประมาณ 20 - 25 วัน จึงจะได้รังไหม ในระยะเวลาดังกล่าวก็จะต้องเก็บใบหม่อนมาเลี้ยงไหม โดยให้ใบหม่อนวันละ 3 - 5 ครั้ง ต้องคอยดูแลรักษาความสะอาด ป้องกันโรคแมลงไม่ให้กล้ำกรายตัวไหม เมื่อครบกำหนดแล้วไหมก็ทำรัง โดยพ่นเส้นใยไหมให้เสร็จแล้วก็ต้องมานั่งดึงเอาเส้นใย (สาวไหม) ให้เป็นเส้นไหมตามที่ต้องการ เสร็จแล้วก็นำไปฟอก ไปมัดลาย ไปย้อม ไปขึ้นกี่ทอผ้า
ดังนั้นขบวนการผลิตผ้าไหม หรือผลิตภัณฑ์จากไหมนั้นต้องใช้เวลา แรงงาน และความตั้งใจ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสวยงาม
ถ้าท่านใช้ผ้าไหมแล้วมีการปฏิบัติรักษาที่ดี ก็จะทำให้ผ้าไหมมีอายุการใช้งานได้นาน เป็นที่นิยมกันแพร่หลายต่อไป เกษตรกรก็คงจะยึดเป็นอาชีพที่มั่นคง ตลอดจนชื่อเสียงของผ้าไหมไทยนั้นก็จะยืนยง คู่ชาติสืบไป


สามารถหาข้อมูลผ้าไหมไทยเพิ่มเติมได้ที่ http://www.doae.go.th/library/html/detail/mait/index.html
หรือสามารถเข้ามาติชมผู้เขียนบล็อกได้ที่
penkhae5@thaimail.com

ผู้เขียนบล็อก
เด็กหญิง เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2





















Monday, March 3, 2008

กาลิเลโอ กาลิเลอิ และ ไมเคิล ฟาราเดย์ นักวิทยาศาสตร์โลก

ไมเคิล ฟาราเดย์ ( Michael Faraday )
กาลิเลโอ กาลิเลอิ ( Galileo )
ทุกคนสามารถที่จะเข้ามาหาข้อมูลนักวิทยาศาสตร์ของทุกคนเพิ่มเติมได้ที่
และสามารถเข้ามาติชมผู้เขียนบล็อกได้ที่

ชื่อ กาลิเลโอ กาลิเลอิ ( Galileo )
เกิดเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564
สถานที่เกิด เมืองปิซา ประเทศอิตาลี
การศึกษา สำเร็จการศึกษาที่วิทยาลัยแห่งปิซา
ผลงาน ประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้มเป็นคนแรก , ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์เป็นคนแรก , ค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัส 4 ดวง ,เป็นผู้ค้นพบกฏของความโน้มถ่วง
ถึงแก่กรรม 8 มกราคม ค.ศ. 1643
ประวัติโดยย่อ
กาลิเลโอมีความสนใจวิชาวิทยาศาสตร์มาก เมื่ออายุ 18 ปี วันหนึ่งเขานั่งอยู่ในโบสถ์และสังเกตเห็นการแกว่งของตะเกียงที่ห้อยลงมาจากเพดานใช้เวลาเท่ากัน แม้ว่าระยะแกว่งจะสั้นกว่าเดิมโดยใช้การเต้นของชีพจรจับเวลา จากการค้นพบนี้ทำให้กาลิเลโอตั้งกฎเกี่ยวกับการแกว่งลูกตุ้มนาฬิกาขึ้นและประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้มขึ้นเป็นคนแรก
ค.ศ.1610 กาลิเลโอ ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ขึ้น เขาค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัส 4 ดวงและดวงจันทร์โคจรรอบดาวพฤหัส ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสที่ว่า " ดวงจันทร์โคจรรอบโลก " กาลิเลโอไม่ได้รับการยกย่องมากนักในสมัยนั้น เนื่องจากความคิดของกาลิเลโอขัดกับทฤษฎีของอริสโตเติลที่ว่า " วัตถุน้ำหนักไม่เท่ากัน วัตถุที่หนักกว่าจะตกถึงพื้นก่อน " แต่ทฤษฎีของกาลิเลโอแย้งว่า " วัตถุที่มีน้ำหนักต่างกันจะตกถึงพื้นพร้อมกัน " เขาพิสูจน์ทฤษฎีนี้ต่อหน้าสาธารณชนโดยโยนวัตถุ 2 สิ่งลงมาจากหอเอนเมืองปิซา ทฤษฎีนี้กลายเป็นข้อกล่าวหาทำนองลบหลู่ศาสนา เพราะประชาชนในยุคนั้นเชื่อแต่อริสโตเติลและไม่กล้าคัดค้านหรือพิสูจน์คำกล่าวของอริสโตเติล ปัจจุบันกาลิเลโอได้รับยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญคนหนึ่งของโลก

ชื่อ ไมเคิล ฟาราเดย์ ( Michael Faraday )
เกิดเมื่อ 22 กันยายน ค.ศ. 1791
ผลงาน ให้กำเนิดไดนาโมในปี 1821
ถึงแก่กรรม 25 สิงหาคม ค.ศ. 1867 ที่แฮมป์ตันคอร์ท
ประวัติโดยย่อ
ไมเคิล ฟาราเดย์มีฐานะไม่ดี เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการศึกษาน้อยแต่มีความพยายามมาก เขารักที่จะอ่านหนังสือโดยเฉพาะเกี่ยวกับไฟฟ้า เขามีโอกาสได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จากเซอร์ฮัมฟรีย์ เดวี ในค.ศ. 1821ฟาราเดย์พบว่ากระแสไฟฟ้าเดินตามเส้นลวด ทำให้เกิดอำนาจแม่เหล็ก เมื่อนำเข็มแม่เหล็กไปวางใกล้ๆ เข็มแม่เหล็กจะหมุนไปเรื่อยๆ ฟาราเดย์จึงให้ทฤษฎีว่า " เมื่อกระแสไฟฟ้าเดินไปตามสายลวด จะทำให้เกิดอำนาจแม่เหล็ก " ฟาราเดย์จึงทดลองประดิษฐ์ไดนาโมขึ้นเป็นครั้งแรก
ในค.ศ. 1825 ฟาราเดย์ทำการทดลองและค้นพบการทำให้ขดลวดตัดกับขดลวดอีกอันหนึ่ง เกิดเป็นอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้า ใช้เป็นหลักของทรานสฟอร์เมอร์ ( หม้อแปลงไฟ ) และในปีเดียวกันนี้ เขาค้นพบการกลั่นน้ำมันเบนซินจากใบคาร์บูเร็ตของไฮโดรเจนและเป็นคนแรกที่สามารถทำให้ก๊าซคลอรีนกลายเป็นของเหลวได้ และพบการทำโลหะผสมเป็นคนแรก ใช้เหล็กและนิกเกิลผสมกัน เรียกว่า สแตนเลสสตีล ผลงานเขามีประโยชน์มากต่อประเทศชาติ นับเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่น่ายกย่องและสรรเสริญมากคนหนึ่ง
ผู้เขียน : ด.ญ.เพ็ญแข หวังปรุงกลาง
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2
โรงเรียนขามสะแกแสง
ครูผู้ฝึกสอนการเขียนบล็อก : ครู เพียรผจง เนตระกูล