Thursday, February 28, 2008

ผลงานของโรงเรียนขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา

ผลงานที่ที่จะนำมาออกเผยเเพร่ให้ทุกคนได้รู้จักในความสามารถของนักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
คือ 1.) งานด๊ะดาด ชุดในการเข้าเเข่งขันในงานด๊ะดาด ณ วันที่ 20 พย. 2550

การเเข่งขันในงานด๊ะดาดโดยฝีมือโรงเรียนขามสะแกแสง
โรงเรียนขามสะแกแสง ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2550

เเดนเซอร์และทุกคนต่างรู้สึกดีใจและภูมิใจที่ทุกคนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาได้จนได้รับรางวัล

2.)รายการ ชิงเเชมป์เยาวชน ทางช่องโมเดิร์นไนน์

วันที่ 14 ธันวาคม 2550 เราได้มาบวงสรวงศาลพระภูมิเพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้การแข่งขันเป็นไปโดยความราบรื่น

ภายในห้องแต่งตัว ชุดในการแสดงจากแดนเซอร์ของโรงเรียนขามสะแกแสง พร้อมกับชุดไทยที่ตระการตามากกว่าเดิม

นักดนตรีของโรงเรียนขามสะแกแสงพร้อมกับครูผู้สอน

ก่อนการแสดงจริง ทั้งนักดนตรี นักร้อง แดนเซอร์ ได้ฝึกซ้อมกันอย่างมุมานะ ก่อนการลงแข่งจริง

จนถึงก้าวที่สำเร็จก้าวนี้ คือ ภาพการแสดงของโรงเรียนขามสะแกแสง
โรงเรียนของเราได้รับรางวัลเป็นใบประกาศนียบัตร พร้อมด้วยเงินรางวัลอีก ๕,๐๐๐ บาท ในรายการ
โมเดิร์นไนน์ ณ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ความภูมิใจที่โรงเรียนขามสะแกแสงได้มาจากการแข่งขัน

ยานพาหนะที่เราเดินทางทั้งไปและกลับก็คือ... ( รถประจำทาง )



ครูผู้ฝึกสอนและควบคุมวงคือ ครู ปิยะพงษ์ ทิพย์โภชน์
โรงเรียนขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา


ผลงานของโรงเรียนนั้นยังมีอีกมากมาย ในปีการศึกษาหน้า ผู้เขียนจะนำผลงานของโรงเรียน

มาให้ชมอีกนะคะ

ผู้เขียนบล็อก : ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง











































































































































































































































































Friday, February 22, 2008

เรื่องเล่าจากเพลงโคราช

สามารถหารายละเอียดได้เพิ่มเติมที่ http://www.koratinfo.com/samapi/koratsong/koratsng1.htm
หรือสามารถเข้ามาติชมผู้เขียนได้ที่ penkhae5@thaimail.com เรื่องเล่าจากเพลงโคราช

เพลงพื้นบ้านของชาวนครราชสีมามีหลายอย่าง เช่น เพลงกล่อมลูกเพลงกลองยาว(เถิดเทิง) เพลงเซิ้งบั้งไฟเพลงแห่นางแมว เพลงปี่แก้วเพลงหม่งเหม่ง เพลงลากไม้ เพลงเชิดเพลงช้าเจ้าหงส์ดงลำไยแต่เพลงที่เล่นกันแพร่หลายและมีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือ เพลงโคราช

เพลงโคราชจะเริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด หลักฐานจากคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมา มีเพียงว่า สมัยท้าวสุรนารี ( คุณย่าโม ) ยังมีชีวิตอยู่ ( พ.ศ. 2313 ถึง 2395 ) ท่นชอบเพลงโคราชมาก เรื่องราวของเพลงโคราชได้ปรากฏหลัดฐานชัดเจน คือในปี พ.ศ. 2456 ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมานครราชสีมาทรงเปิดถนนจอมสุรางค์ยาตร์ และเสด็จไปพิมาย ในโอกาสรับเสด็จครั้งนั้น หมอเพลงชายรุ่นเก่าชื่อเสียงโด่งดังมากชื่อนายหรี่ บ้านสวนข่า ได้มีโอกาสเล่นเพลงโคราชถวาย เพลงที่เล่นใช้เพลงหลัก เช่น กลอนเพลงที่ว่า " ข้าพเจ้านายหรี่อยู่บุรีโคราชเป็นนักเลงเพลงหัด บ่าวพระยากำแหง ฯ เจ้าคุณเทศา ท่านตั้งให้เป็นขุนนาง .....ตำแหน่ง " ความอีกตอนเอ่ยถึงการรับเสด็จว่า " ได้สดับว่าจะรับเสด็จเพื่อเฉลิมพระเดชพระจอมแผ่นดิน โห่สามลา ฮาสามหลั่นเสียงสนั่น....ธานินทร์ "( สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงเป้นผู้บังคับการพิเศษประจำกรมทหารม้านครราชสีมา จนถึง พ.ศ. 2462 เมื่อเสด็จนครราชสีมา นายหรี่ สวนข่า ก็มีโอกาสเล่นเพลงถวาย )

เพลงโคราชมีโอกาสเล่นถวายหน้าพระที่นั่งในงานชุมนุมลูกเสือครั้งที่ 1 ในนามการแสดงมหรสพของมณฑลนครราชสีมา เกี่ยวกับกำเนิดของเพลงโคราช มีทั้งที่เป็นคำเล่าและตำนานหลักฐานจากคำบอกเล่าของหมอเพลงอีกจำนวนหนึ่งเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ในสมัยรัตนโกสินทร์มีสงครามระหว่างไทยกับเขมร เมื่อไทยชนะสงครามเขมรครั้งไร ชาวบ้านจะมีการเฉลิมฉลองชัยชนะ ด้วยการขับร้องและร่ายรำกันในหมู่สกที่เขาเรียกว่า " ซุมบ้านสก " ใกล้ ๆ กับชุมทางรถไฟ ถนนจิระและเริ่มเล่นเพลงโคราชกันที่หมู่บ้านนี้ ท่าทางการรำรุกรำถอย และการป้องหู มีผู้สันนิษฐานว่าประยุกต์มาจากการเล่นเจรียง ที่เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวสุรินทร์ผสมผสาน กับเพลงทรงเครื่องของภาคกลาง

ผู้เขียน : ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง ม.3/2 โรงเรียนขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา


Thursday, February 21, 2008

ความเป็นมาของภูเก็ต











http://www.moohin.com/ > ภูเก็ต / PHUKET
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พื้นที่บริเวณเกาะภูเก็ตได้มีการเรียกขานกันมาหลายชื่อ ได้แก่ แหลมตะโกลา มณีคราม จังซีลอน ภูเก็จ (ซึ่งหมายถึงภูเขาแก้ว) จนกลายเป็นคำว่า “ภูเก็ต” เป็นเมืองที่มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย โดยตัวเมืองอยู่ที่ถลางซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ เมืองถลางเดิมมีขุนนางไทยคอยดูแลรักษาผลประโยชน์เพราะฝรั่งชาติฮอลันดามารับซื้อสินค้าจำพวกแร่ ต่อมาถึงรัชกาลที่ 1 พระเจ้ากรุงอังวะยกกองทัพเข้ามารุกรานหัวเมืองฝ่ายตะวันตกแถบชายทะเลของไทยในปี พ.ศ.2328 โดยแบ่งกองทัพยกไปตีเมืองกระ ระนอง ชุมพร ไชยา ตลอดลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช ขณะนั้นกองทัพกรุงเทพฯ ยังติดพันการศึกที่กาญจนบุรียกมาช่วยไม่ทัน พม่าส่งแม่ทัพชื่อยี่หวุ่น ยกทัพเรือมาตีได้ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า แล้วเลยไปตั้งค่ายล้อมเมืองถลางไว้ ขณะนั้นพระยาถลางถึงแก่กรรมยังไม่ได้ตั้งเจ้าเมืองใหม่ ภริยาเจ้าเมืองถลางชื่อจัน กับน้องสาวชื่อมุก จึงคิดอ่านกับกรรมการทั้งปวงตั้งค่ายใหญ่ขึ้น 2 ค่าย ป้องกันรักษาเมืองเป็นสามารถ พม่าล้อมเมืองอยู่เดือนเศษเมื่อหมดเสบียงก็เลิกทัพกลับไป
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องยศให้วีรสตรีทั้งสองเป็นท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทร เป็นที่น่าภาคภูมิใจแก่ชาวเมืองตลอดมา เกาะถลางหรือเมืองถลางได้เปลี่ยนชื่อเป็นเกาะภูเก็ต หรือเมืองภูเก็ตในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว















ภูเก็ต ได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งอันดามัน เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในด้านความสวยงามของทิวทัศน์ และหาดทราย น้ำทะเลสีฟ้าใส พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยวครบครัน เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของประเทศไทยในน่านน้ำทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย มีพื้นที่ประมาณ 543 ตารางกิโลเมตร ความยาวสุดของเกาะภูเก็ตวัดจากทิศเหนือถึงทิศใต้ประมาณ 48.7 กิโลเมตร และส่วนกว้างที่สุดวัดจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกประมาณ 21.3 กิโลเมตร ภูเก็ตแบ่งออกเป็น 3 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอถลาง และอำเภอกะทู้









ภูมิอากาศภูเก็ตมีอากาศแบบฝนเมืองร้อน มีลมพัดผ่านตลอดเวลา อากาศอบอุ่นและชุ่มชื้นตลอดปี มี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ฤดูฝนเริ่มเดือนพฤษภาคม-เดือนพฤศจิกายน ฤดูร้อนเริ่มเดือนธันวาคม-เดือนเมษายน ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน เป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดไม่มีฝน ท้องฟ้าแจ่มใส
หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
สนามบินภูเก็ต โทร. 0 7632 7230-7




แหล่งที่มา




จัดทำโดย
ด.ญ. ศิริพร ใบดั้งกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2
โรงเรียนขามสะแกแสง

หมีขาวขั้วโลกเหนือและแพนกวินแห่งขั้วโลกใต้ ในชตากรรมเดียวกัน

หมีขาวขั้วโลกเหนือและเพนกวินแห่งขั้วโลกใต้…ในชะตากรรมเดียวกัน
กุมภาพันธ์ 14, 2007 ที่ 11:55 pm · Filed under ถึงโลกใบนี้ : to the planet, โลกร้อน-global warming

เมื่อเย็นที่ผ่านมาเรานั่งตัวเล็กลีบอยู่ในโถงชั้น ๑ ของ British Council สยามสแควร์ที่นั่นมีงานเสวนา @ the bar ในหัวข้อ To the End of the Climate: Climate Change and the Arctic –ช่างเป็นประเด็นที่ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับบรรยากาศหวานชื่นของวันวาเลนไทน์ที่อบอวลอยู่รอบๆ โดยแท้
รู้สึก “เล็กลีบ” เพราะมันเป็นงานเสวนาที่พูดคุยด้วยภาษาอังกฤษทั้งหมดซึ่งเราก็ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ตามประสาคนหัวดำที่เรียนภาษาอังกฤษจากระบบการศึกษาของไทยล้วนๆ แต่เอาเหอะ…ถือซะว่าเปิดกะลาของตัวเองสำคัญกว่านั้น…มันเกี่ยวกับโปรเจ็คที่กำลังวาดฝันอยู่ด้วย


อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักกับ Cape Farewell โครงการปลุกเร้าจิตสำนึกเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการพานักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน และครูอาจารย์ ล่องเรือไปยังขั้วโลกเหนือให้รับรู้ว่า การเพิ่มขึ้นของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อเราอย่างไรบ้างข้อมูลจากประสบการณ์ตรงเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจชั้นเยี่ยมในการใช้บทบาทหน้าที่ของตนเองส่งผ่านเรื่องราวไปยังคนรอบข้าง
Mr.Quentin Cooper หนึ่งในผู้ที่มีประสบการณ์สุดเจ๋งจากการร่วมเดินทางไปยังขั้วโลกเหนือเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังมากมายเรารับรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่า การเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิชั้นบรรยากาศโลกกำลังทำให้หมีขั้วโลกตัวโตที่มีขนขาวหนาต้องเดือดร้อนแน่นอนว่า…การเพิ่มสูงขึ้นนี้เป็นผลพวงจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์



หมีขาวใช้ชีวิตอยู่ที่ขั้วโลกเหนืออย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่า…พื้นที่หากินของมันหดแคบลง โลกที่ร้อนขึ้นทำให้แผ่นน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อยๆโดยธรรมชาติแล้วพวกมันไม่สามารถว่ายน้ำได้ต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนจึงจำเป็นต้องแวะพักเหนื่อยตามแผ่นน้ำแข็งที่ลอยอยู่กระจัดกระจายแผ่นน้ำแข็งที่เหลือน้อย ทำให้พวกมันใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก…ถ้าแผ่นน้ำแข็งละลายหมดเกลี้ยง หมีขาวจะอยู่รอดได้อย่างไร…
source: http://www.capefarewell.com/


แต่ข้อมูลใหม่ที่เราเพิ่งรู้จากปากของ Mr. Cooper ก็คือขยะจำพวกพลาสติกที่ถูกทิ้งลงทะเล มันแตกสลายเป็นละอองพลาสติกตามวันเวลาและเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ส่งต่อไปยังนักล่าที่ยืนอยู่บนสุดของพีระมิดปลาตัวเล็ก—> ปลาตัวใหญ่—> สิงโตทะเล แมวน้ำ—> หมีขาวหมีขาวรับสารแปลกปลอมอย่างพลาสติกเข้าสู่ร่างกายผ่านการกินตามลำดับขั้นกระทั่งทำให้หมีขาวจำนวนไม่น้อยมีสองเพศในตัวเดียว!!!
บางห้วงจังหวะที่จับใจความจากภาษาต่างด้าวไม่ได้เราครุ่นคิดถึงคาราวานเพนกวินที่ขั้วโลกใต้พวกมันก็โดนสภาวะโลกร้อนเล่นงานหนักไม่แพ้หมีขาวใครที่ดูรายการปฐพีชีวิตทางช่อง ๙ เมื่อปลายเดือนมกราคมหรือเคยชมภาพยนตร์สารคดี “The March of Penguins”ที่มีนกเพนกวินจักรพรรดินับร้อยนับพันเป็นนักแสดงคงพอนึกออกถึงการอยู่รอดในสภาพอากาศที่โหดร้าย(ถ้ายังไม่ได้ดู และอยากหา DVD เรื่องนี้มาดูด้วยตนเอง ขอให้หยุดอ่านที่บรรทัดนี้เพราะข้อเขียนส่วนต่อไปมีการเปิดเผยถึงเนื้อหาของภาพยนตร์)
เพนกวินจักรพรรดิเป็นสายพันธุ์เพนกวินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแต่ตัวโตไม่ได้หมายความว่าจะอยู่รอดในธรรมชาติได้ง่ายดายตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกมันต้องฝ่าฟันอุปสรรคยากเข็ญนานัปการ


เรื่องราวธรรมชาตินี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเป็นเวลาหลายพันปีแต่มนุษย์เพิ่งค้นพบความอัศจรรย์นี้เมื่อต้นศตวรษที่ ๒๐และภาพยนตร์ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ๖ ปีที่แล้วก็ถ่ายทอดเหตุการณ์ที่มีส่วนผสมของความรัก ความน่าทึ่ง กำลังใจ ความกล้าหาญ และการผจญภัยของเหล่าพ่อแม่เพนกวินได้อย่างลงตัวโดยให้ทีมงานถ่ายทำ ๔ คนเข้าไปฝังตัวอยู่ที่แอนตาร์กติกนาน ๑๔ เดือน !!!

เมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลงและฤดูหนาวกำลังจะเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์เพนกวินจักพรรดิจากทุกสารทิศจะว่ายน้ำมายังขั้วโลกใต้…บ้านเกิดของพวกมัน…ต้นเดือนมีนาคม สัญชาตญาณสั่งให้พวกมันละทิ้งทะเลและพุ่งตัวผ่านรอยแยกของน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อออกเดินทางครั้งใหญ่จากสุดขอบทะเลน้ำแข็งเข้าสู่แผ่นดินตอนใน หรือ “โอเอม็อก” (Oamok)–ดินแดนที่เหมาะต่อการผสมพันธุ์–ฤดูหนาวที่นั่นอุณหภูมิลดต่ำเสียจนไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดเข้ามารบกวนการฟักไข่อีกทั้งพื้นน้ำแข็งก็หนาพอที่จะไม่แยกเป็นส่วนๆ ในวันเริ่มต้นของฤดูร้อนซึ่งลูกเพนกวินยังเล็กอยู่
คาราวานเพนกวินเดินบ้าง ไถตัวไปบนพื้นน้ำแข็งบ้าง รวมระยะทางกว่า ๒๐๐ กิโลเมตรแต่ละย่างก้าวเล็กๆ มุ่งสู่สมรภูมิที่ต้องต่อสู้กับความหนาวระดับ -๖๕ องศาเซลเซียสด้วยเหตุที่ภูมิประเทศขาวโพลนกว้างโล่งไม่มีตำแหน่งอ้างอิงใดๆดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว จึงเป็นเข็มทิศสำคัญสำหรับสัตว์ปีกหุ่นอ้วนกลมแม้เนินน้ำแข็งจะเปลี่ยนแปลงทุกปี พวกมันยังสามารถเดินไปถึงจุดหมายเดิมได้อย่างแม่นยำ
หลังจากฝูงเพนกวินรวมตัวพร้อมหน้า มันจะเปล่งเสียงร้องหาคู่เมื่อเจอแล้วเพนกวินสองตัวจะยืนนิ่งอยู่เคียงกันน่าแปลกว่าท่ามกลางการเปล่งเสียงอันอลหม่านนั้นเพนกวินสามารถจดจำเสียงของคู่ตัวเองได้ถูกต้อง
source: http://wip.warnerbros.com/marchofthepenguins/


และเนื่องจากจำนวนเพนกวินตัวผู้นั้นน้อยกว่าตัวเมียช่วงแรกของการจับคู่จึงเกิดศึกชิงหนุ่มบ้างแต่สุดท้ายแล้วตัวเมียที่ไร้คู่จะต้องเดินกลับไปสู่ทะเลไม่มีประโยชน์ที่จะสู้กับฤดูหนาวอันโหดร้ายโดยไม่มีชีวิตของเพนกวินน้อยเป็นสิ่งตอบแทน
ค่ำคืนฮันนีมูนผ่านไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมแม่เพนกวินจะออกไข่เพียง ๑ ฟอง และซ่อนมันไว้ในช่องว่างใต้พุง–กระเป๋าหน้าท้องที่คอยสร้างความอบอุ่นให้ไข่—นาฬิกาของชีวิตใหม่เริ่มต้นแล้ว
ความระทึกใจมาถึงเมื่อแม่เพนกวินต้องส่งมอบไข่ให้พ่อเพนกวินรับผิดชอบมันไม่มีนิ้วที่จะหยิบจับได้อย่างง่ายดาย ฟองไข่ก็แสนบอบบาง พื้นน้ำแข็งก็ไม่ราบเรียบอีกทั้งความหนาวเย็นยังคอยจ้องปลิดชีวิตน้อยๆ ขั้นตอนนี้จึงต้องรวดเร็วและแม่นยำแม่เพนกวินปล่อยไข่ลงบนพื้นพร้อมกับเดินถอยห่างออกมาพ่อเพนกวินต้องใช้จงอยปากดันไข่ให้ขึ้นมาอยู่บนหลังเท้าของตนช้าแม้เพียงเสี้ยวนาทีอุณหภูมิพื้นน้ำแข็งจะถ่ายทอดสู่ไข่จนแข็งตัวและแตกร้าว


หลังการส่งมอบไข่ แม่เพนกวินจะมุ่งหน้าสู่ทะเลใช้เวลา ๒-๓ สัปดาห์ในการเพิ่มพลังงานให้ตนเองและกักตุนอาหารมาป้อนลูกน้อยขณะที่พ่อเพนกวินต้องยืนรักษาไข่ไว้ใต้พุงเหนือหลังเท้าประมาณ ๖๐ วันจนกว่าไข่จะฟักเป็นตัวที่ยากกว่านั้นคือทุกตัวต้องร่วมกันฝ่าพายุหิมะที่ร้ายกาจไปให้ได้พร้อมกับรักษาชีวิตน้อยๆพวกมันยืนเบียดต้านทานลมที่พัดแรงเร็วประมาณ ๑๖๑-๒๔๑ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แม่ที่กินอิ่มต้องรีบเดินทางกลับมายังโอเอม็อกภายใน ๔๘ ชั่วโมงหลังจากที่ลูกเพนกวินเกิดเจ้าตัวเล็กมีพลังงานสะสมน้อยและอ่อนแอเหลือเกินถ้าช้า…พ่อเพนกวินซึ่งไม่ได้กินอะไรมานานกว่า ๔ เดือนจะทิ้งลูกและเดินกลับไปยังทะเลก่อนที่ตัวเองจะหมดแรง


source: http://wip.warnerbros.com/marchofthepenguins/
ในทางกลับกันถ้าแม่เพนกวินมาทันเวลาและพ่อลูกรอดพายุหิมะมาได้อย่างปลอดภัยเธอจะมีโอกาสป้อนอาหารมื้อแรกและปล่อยให้พ่อเดินไปสู่ทะเลบ้างสลับกันออกไปหาอาหารมาเลี้ยงลูกจนถึงเวลาที่เจ้าตัวเล็กพร้อมจะสัมผัสน้ำทะเลแรกของชีวิตในช่วงฤดูร้อนเมื่อถึงวันนั้นพ่อและแม่เพนกวินจะแยกจากกันเพื่อรอการสืบทอดสายพันธุ์ที่จะเกิดขึ้นอีกในฤดูหนาวครั้งต่อไป
ส่วนลูกๆ รวมฝูงกันลงทะเลเพื่อเผชิญโลกใหม่ที่น่าตื่นเต้นอีก ๔ ปีข้างหน้าลูกเพนกวินจะโตเต็มวัยและกลับมาปฏิบัติภารกิจอย่างที่พ่อแม่ของมันทำ


ภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นทำให้น้ำแข็งขั้วโลกใต้ละลายเร็วกว่าปกติในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ลูกเพนกวินจักรพรรดิจำนวนมากต้องจบชีวิตลงเพราะยังไม่โตพอที่จะว่ายออกสู่ทะเลในฤดูร้อนที่มาถึงก่อนกำหนด
โศกนาฏกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้ามนุษย์ยังไม่ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง…ลำพังการสร้างชีวิตใหม่ของเพนกวินจักรพรรดิก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้วคุณยังจะใจร้ายซ้ำเติมมันได้ลงคอเชียวหรือ…
แหล่งที่มา
จัดทำโดย
ด.ญ. ศิริพร ใบดั้งกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2
โรงเรียนขามสะแกแสง

Tuesday, February 19, 2008

ประวัติโรงเรียนขามสะแกแสง

ประวัติโรงเรียนขามสะแกแสง

อำเภอขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
นครราชสีมา เขต 5 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

โรงเรียนขามสะแกแสง เป็นสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 5 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องตั้งโรงเรียนรัฐบาล ปีการศึกษา 2517 ประกาศ ณ วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2517 ปัจจุบันเปิดทำการสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (ช่วงชั้นที่ 3 ) ถึง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ช่วงชั้นที่ 4) ผู้อำนวยการโรงเรียน นายสุชาติ ยาวิศิษฏ์

ที่ตั้ง

โรงเรียนขามสะแกแสงตั้งอยู่เลขที่ 470 หมู่ 13 ตำบลขามสะแกแสง อำเภอขาม-สะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา รหัสไปรษณีย์ 30290 โทรศัพท์ 0-4438-5217 , 0-4438-5044 โทรสาร 0 - 4438-5219 อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านขาม ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ระยะห่างจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำนวน 65 กิโลเมตร

พื้นที่

โรงเรียนมีเนื้อที่จำนวน 65 ไร่ - งาน 21.8 ตารางวา ซึ่งที่ดินของโรงเรียนทั้งหมดนี้ได้รับการบริจาคจากบุคคลต่อไปนี้

1. นายพรม ถ้ำกลาง เนื้อที่ 15 ไร่ 6 ตารางวา
2. นายยัง พากลาง เนื้อที่ 5 ไร่
3. นางรอด เชาวันกลาง เนื้อที่ 28 ไร่ 32 ตารางวา
4. นายอ่อน ปลั่งกลาง เนื้อที่ 16 ไร่ 2 ตารางวา
5. นางจ้อม หวังคอนกลาง เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 48 ตารางวา
ที่ดินทั้งหมดนี้มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้า กว้างด้านหน้าประมาณ 8 เส้น ยาวประมาณ 9 เส้น


แหล่งที่มา
http://wcb.chon2.go.th/ks/history.thmi


จัดทำโดย
ด.ญ.ศิริพร ใบดั้งกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2
โรงเรียนขามสะแกแสง

Sunday, February 17, 2008

ไปเที่ยวสระบุรีกันเถอะ

การไปเที่ยวถือว่าเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง สิ่งใดที่เราไม่รู้ไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัส อาจจะทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงข้อนี้ได้
สระบุรีเป็นชื่อจังหวัดหนึ่งที่มีเรื่องน่ารู้มากมาย เรื่องที่ ๑ เรื่อง บ่อนายพรานล้างเนื้อ ตำนานเล่าขานว่า มีพรานคนหนึ่งได้เข้าป่าล่าสัตว์เมื่อจะนำเนื้อสัตว์ไปล้างให้สะอาด พรานก็สังเกตเห็นรอยเท้าประหลาด และรอยเท้านั้นคล้ายๆกับรอยเท้าของพระพุทธเจ้า พรานจึงคิดทันทีว่าอาจจะเป็นรอยเท้าของพระพุทธเจ้า ( ในสมัยนั้นไม่มีพระรูปใดนอกจาก พระพุทธเจ้าเพียงรูปเดียว ) เมื่อล้างเนื้อเสร็จ นายพรานก็ไปหาคนให้นำก้อนอิฐ ก้อนกรวด มาล้อมรอบรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าไว้ ปัจจุบัน ก็มีอะไรๆเปลี่ยนไปมากมายมาก

แล้วยังมี กุมภกัณฑ์ทดน้ำ ก็มีตำนานเล่าขานเช่นกันว่า กุมภกัณฑ์ได้ไปทดน้ำ ที่ สระน้ำซึ่งเป็นทางผ่านไปกองทัพของพระราม สืบเนื่องจากต้องการให้กองทัพของพระรามอดน้ำตาย ทั้งนี้ ฝ่ายของพระรามเห็นน้ำผิดสังเกตจึงให้หนุมานเหาะไปดูว่าเหตุใดน้ำจึงขุ่นมัวเช่นนั้น หนุมานได้เหาะไปเห็นกุมภกัณฑ์กำลังร่ายมนต์จึงตัดสินใจลงไปสาบให้กุมภกัณฑ์เป็นหิน ( ปัจจุบันมีแต่รูปปั้นแต่พระเศียร แต่ร่างของกุมภกัณฑ์ก็ยังอยู่ในน้ำอยู่ ) ก่อนจะจากลา ผู้เขียนขอนำรูปที่ถ่ายเป็นที่ระลึกมาลงไว้ให้ชมกัน

ผู้เขียน : ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนชั้น ม.3/2 ของโรงเรียนขามสะแกแสง
( สามารถเข้ามาติชมได้ที่ penkhae5@thaimail.com )




ขอบคุณค่ะ




Wednesday, February 13, 2008

ตำนานช้างไทย


ช้างไทย…ในวันนี้ยังคงตัวโต เฉลียวฉลาด สง่างาม และความยิ่งใหญ่เช่นเดิม แต่ดูเหมือนว่า ช้างไทยจะถูกลืมเลือนและเห็นความสำคัญน้อยลงไปทุกที ๆ ช้างในโลกมีอยู่ 2 ตระกูลใหญ่ ๆ คือ ช้างเอเชีย และช้างแอฟริกา ช้างเอเชีย (Elephas Maximus) ช้างเอเชีย คือ ช้างที่อาศัยอยู่ตามป่าในประเทศไทย อินเดีย พม่า กัมพูชา ศรีลังกา และมาเลเซีย ช้างเอเชียมีความสูงในขณะมีความสมบูรณ์เต็มที่ วัดจากปลายขาหน้าถึงไหล่ เฉลี่ยประมาณ 3 เมตร หัวเป็นโหนก มองจากด้านหน้าจะเห็นเป็น 2 ลอน เฉลียวฉลาดสามารถนำมาฝึกให้ทำงาน หรือฝึกให้แสดงท่าทางต่าง ๆ ได้ ใบหูเป็นแผ่นกว้าง ขอบหูด้านบนอยู่ในระดับของหัว ปลายงวงจะมีงอยเดียว หลังโค้ง เห็นได้ชัด เท้าหน้าทีเล็บข้างละ 5 เล็บ เท้าหลังมีข้างละ 4 เล็บ ช้างเอเชียซึ่งรวมถึงช้างไทยด้วยนี้ ถ้าเป็นช้างตัวผู้ เรียกว่าช้างพลาย ซึ่งจะมีงา ส่วนช้างตัวเมีย ที่เรียกว่าช้างพังนั้น โดยปกติจะไม่มีงา หรืออาจมีงาสั้น ๆ เรียกว่า ขนาย ช้างพลายที่ไม่มีงาก็มีอยู่บ้าง เรียกว่า ช้างสีดอ

ช้างแอฟริกา (Loxodonta Africana) ช้างแอฟริกา คือ ช้างที่อาศัยในทวีปแอฟริกา มีความสูงโดยเฉลี่ย 3.5 เมตร ซึ่งสูงกว่าช้างเอเชียหัวของช้างแอฟริกาจะเล็กกว่าหัวของช้างเอเชียอย่างเห็นได้ชัด มีโหนกที่หัวเพียงลอนเดียว ลักษณะที่ แตกต่างจากช้างเอเชียอย่างชัดเจนอีกอย่างหนึ่ง คือ ใบหูที่ใหญ่กว่า ขอบหูด้านบนสูงกว่าระดับหัวช้าง เมื่อกางออกเต็มที่ จะเห็นว่าใบหูใหญ่มาก ปลายงวงมี 2 จะงอย เท้าหน้าทีเล็บข้างละ 5 เล็บ เท้าหลัง มีข้างละ 5 เล็บ เท้าหลังมีข้างละ 3 เล็บ ช้างเแอฟริกามีงาเหมือนกันทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่มีความฉลาดน้อยกว่าช้างเอเชียและดุร้าย จึงยังไม่เคยมีผู้นำช้างแอฟริกามาฝึกเพื่อใช้งาน หรือฝึกเพื่อการแสดงเลย นอกจากช้าง 2 ตระกูลที่กล่าวมาแล้ว ยังมีช้างแคระ (Pygmy Elephant) สูงราว 2 เมตร เป็นช้างแอฟริกาอยู่ตามลุ่มน้ำคองโก มีเหลืออยู่น้อยมาก เพราะชาวแอฟริกันมักล่าเอาเนื้อมาปรุงอาหาร ช้างแคระ ในประเทศไทยก็เคยมีอยู่ตามป่าชายทะเลสาบสงขลา เรียกว่า ช้างค่อม แต่ปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว

นิสัยของช้าง ช้างเอเชียรวมทั้งช้างไทยเป็นสัตว์ที่ฉลาด นอกจากนี้ยังมีความสุภาพ สะอาด มีความจำดี รักเจ้าของ อดทนและจำกลิ่นที่เคยชินได้ สังเกตได้จากพฤติกรรมที่ช้างจะใช้เท้าลองเหยียบเพื่อหยั่งดูว่า พื้นดินบริเวณใดอ่อนทานน้ำหนักตัวไม่ได้ ช้างจะเลี่ยงไม่เหยียบพื้นดินบริเวณนั้น ช้างจะดุร้ายเฉพาะตอนที่ตกมันเท่านั้น ซึ่งจะจำใครไม่ได้แม้แต่คนเลี้ยง


อาหารของช้าง ช้างเป็นสัตว์ไม่กินเนื้อ อาหารส่วนใหญ่ได้แก่ต้นไม้ใบหญ้า ช้างกินอาหารคิดเป็นน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัมต่อวัน อาหารของช้างได้แก่
- หญ้า มีหญ้าหลายชนิดที่ช้างชอบ เช่น หญ้าคา อ้อ หญ้าแพรก หญ้าปล้อง หญ้าปากควาย
- ไม้ไผ่ เช่น หน่อไม้ และยอดอ่อนของไผ่ป่า ไม่รวก ไผ่ข้าวหลาม
- เถาวัลย์ เช่น บอดระเพ็ด ส้มป่อย และเถาวัลย์แดง
- ไม้ยืนต้น ช้างชอบกินทั้งเปลือก ใบ และผล เช่น กล้วย อ้อย ขนุน ไทร สัก มะพร้าว มะขาม มะขวิด
- พืชไร่ เช่น ข้าวโพด สับปะรด ฟัก แตงโม มะละกอ
- ดินโป่ง ช้างจะกินดินโป่งเป็นบางเวลา ดินโป่งประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปแตสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม
ช้างป่าชอบกินผลไม้สุก

ข้อมูลที่ได้ได้มาจาก :

http://www.kanchanapisek.or.th/kp4/book244/elephant.html

ผู้จัดทำ :

เด็กหญิง เพ็ญแข หวังปรุงกลาง

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2

นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง






















Tuesday, February 12, 2008

ครูครับทำน้ำยาซักผ้าอย่างไรครับ

มงคล : อาจารย์ครับ...ผมอยากทำน้ำยาซักผ้าให้ป้าผมครับ น้ำยาที่อาจารย์ให้ผมไปลองล้างจานน่ะ ใช้ดีครับ จานไม่มีมันเลย

ครู :ได้ซิจ๊ะ....หนูลองเอาเอกสารการทำเล่มนี้ไปอ่านให้จดจำได้แม่นยำก่อนนะ แล้วหมักดอกอัญชันไว้ด้วย
มงคล : ทำไงล่ะครับ


ครู: ก็แค่ใส่น้ำตาลทรายสีน้ำตาล เม็ดใหญ่ๆลงในดอกอัญชันที่ล้างสะอาด ปิดฝาขวดโหลไว้ เขย่าทุกวัน รอสักสองสัปดาห์ให้ออกสีชมพูอมม่วง และมีกลิ่นเปรี้ยวๆก็ใช้ได้


เมื่อได้สีและกลิ่นตามที่ครูบอกแล้ว ก็ให้กรองออกมาไว้ในขวด น้ำหมักดอกอัญชันที่ได้นี้ยังสามารถนำมาปรุงรส โดยเติมน้ำเชื่อมลงไป ใส่น้ำแข็งก้อนเล็กๆลงไป เขย่าเบาๆ ครูเรียกว่า
"ไวน์อัญชัน" ค่ะ


หลายวัน ต่อมา....

มงคล : อาจารย์ครับ ผมพร้อมแล้วครับ อาจารย์สอนผมทำน้ำยาซักผ้าได้ไหมครับ

ครู : ถ้างั้นวันศุกร์ หลังเลิกเรียนแล้วกันนะ


เย็นวันศุกร์

เตรียมอุปกรณ์ : ถัง ไม้พาย ภาชนะสำหรับบรรจุน้ำยา

วัสดุ :

1. N 70 (ทำให้เกิดฟองและขจัดคราบ)จำนวน 1 ก.ก. ราคา 70 บาท
2. น้ำหมักชีวภาพดอกอัญชันครึ่งลิตร (แทนสารกันเสีย และฆ่าจุลินทรีย์) 3. น้ำสะอาด 8 ขัน ( 8 ลิตร)
4. เกลือครึ่งถุง ราคา 5-6 บาท ( ใช้เพื่อปรับให้ข้น และ เหลว )
ขั้นตอนการทำ
1. เท N 70 .ใส่ถัง

2. ใช้ไม้พายคนไปทางเดียวเบาๆ จนขึ้นขาวฟู

3. ใส่น้ำชีวภาพอัญชันทีละนิด คนไปด้วยเพื่อให้เข้ากันดี ครั้งแรกจะเห็นเป็นสีฟ้าคราม คนไปเรื่อยๆ สลับกับการใส่น้ำ ถ้าเหลวไปใส่เกลือ ถ้าข้นไปเติมน้ำ เหลวไปใส่เกลือ ใส่น้ำหมักอัญชันสลับไปจนหมดทุกอย่าง สุดท้ายปรับให้ข้นด้วยเกลือ
4. ทิ้งไว้ 1 คืนเพื่อให้ฟองยุบตัว ถ้าพอใจในความข้นแล้วให้บรรจุลงภาชนะที่เตรียมไว้ หากเหลวไปให้พรมเกลือลงเล็กน้อย ระวังอย่าใส่มาก
เท่านี้เราก็ได้น้ำยาอเนกประสงค์แล้ว ลงทุนแค่ 75 บาทเท่านั้น ที่บ้านครูทำเดือนละครั้ง ประหยัดได้ประมาณเดือนละ 300 บาทเชียว ครูใช้ซักผ้า ล้างจาน และอาบด้วย ล้างหน้าบางครั้งเมื่อรู้สึกว่าหน้าเหนียวหนืดเนื่องจากสกปรกมาก
สิ่งค้นพบคือ ครูเคยซักผ้าทิ้งไว้ตอนเช้า พอตอนเย็นกลับมาบ้าน จะซักผ้าอีกสักตู้จึงรู้ว่ายังไม่ได้ตากผ้าที่ซักไว้ตั้งแต่เช้าเลย แต่เสื้อผ้าไม่มีกลิ่นเหม็นอับ นี่แหละสรรพคุณของน้ำหมักชีวภาพอัญชันหล่ะ
รวมเวลาในการทำประมาณ 1 ชั่วโมง
มงคล : ผมหายข้องใจแล้วล่ะครับครู ขอบคุณครับ
ครู : เก็บของได้แล้วนะ เดี๋ยวครูไปส่งถึงบันไดบ้านเลย.......
ผู้บันทึก : นางเพียรผจง เนตระกูล ครู คศ. 2 ระดับ 7 โรงเรียนขามสะแกแสง สพท.นครราชสีมา เขต 5