
















ครูผู้ฝึกสอนและควบคุมวงคือ ครู ปิยะพงษ์ ทิพย์โภชน์
โรงเรียนขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา
ผลงานของโรงเรียนนั้นยังมีอีกมากมาย ในปีการศึกษาหน้า ผู้เขียนจะนำผลงานของโรงเรียน
มาให้ชมอีกนะคะ
ผู้เขียนบล็อก : ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
ครูผู้ฝึกสอนและควบคุมวงคือ ครู ปิยะพงษ์ ทิพย์โภชน์
โรงเรียนขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา
ผลงานของโรงเรียนนั้นยังมีอีกมากมาย ในปีการศึกษาหน้า ผู้เขียนจะนำผลงานของโรงเรียน
มาให้ชมอีกนะคะ
ผู้เขียนบล็อก : ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
เพลงพื้นบ้านของชาวนครราชสีมามีหลายอย่าง เช่น เพลงกล่อมลูกเพลงกลองยาว(เถิดเทิง) เพลงเซิ้งบั้งไฟเพลงแห่นางแมว เพลงปี่แก้วเพลงหม่งเหม่ง เพลงลากไม้ เพลงเชิดเพลงช้าเจ้าหงส์ดงลำไยแต่เพลงที่เล่นกันแพร่หลายและมีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือ เพลงโคราช
เพลงโคราชจะเริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด หลักฐานจากคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมา มีเพียงว่า สมัยท้าวสุรนารี ( คุณย่าโม ) ยังมีชีวิตอยู่ ( พ.ศ. 2313 ถึง 2395 ) ท่นชอบเพลงโคราชมาก เรื่องราวของเพลงโคราชได้ปรากฏหลัดฐานชัดเจน คือในปี พ.ศ. 2456 ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมานครราชสีมาทรงเปิดถนนจอมสุรางค์ยาตร์ และเสด็จไปพิมาย ในโอกาสรับเสด็จครั้งนั้น หมอเพลงชายรุ่นเก่าชื่อเสียงโด่งดังมากชื่อนายหรี่ บ้านสวนข่า ได้มีโอกาสเล่นเพลงโคราชถวาย เพลงที่เล่นใช้เพลงหลัก เช่น กลอนเพลงที่ว่า " ข้าพเจ้านายหรี่อยู่บุรีโคราชเป็นนักเลงเพลงหัด บ่าวพระยากำแหง ฯ เจ้าคุณเทศา ท่านตั้งให้เป็นขุนนาง .....ตำแหน่ง " ความอีกตอนเอ่ยถึงการรับเสด็จว่า " ได้สดับว่าจะรับเสด็จเพื่อเฉลิมพระเดชพระจอมแผ่นดิน โห่สามลา ฮาสามหลั่นเสียงสนั่น....ธานินทร์ "( สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงเป้นผู้บังคับการพิเศษประจำกรมทหารม้านครราชสีมา จนถึง พ.ศ. 2462 เมื่อเสด็จนครราชสีมา นายหรี่ สวนข่า ก็มีโอกาสเล่นเพลงถวาย )
เพลงโคราชมีโอกาสเล่นถวายหน้าพระที่นั่งในงานชุมนุมลูกเสือครั้งที่ 1 ในนามการแสดงมหรสพของมณฑลนครราชสีมา เกี่ยวกับกำเนิดของเพลงโคราช มีทั้งที่เป็นคำเล่าและตำนานหลักฐานจากคำบอกเล่าของหมอเพลงอีกจำนวนหนึ่งเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ในสมัยรัตนโกสินทร์มีสงครามระหว่างไทยกับเขมร เมื่อไทยชนะสงครามเขมรครั้งไร ชาวบ้านจะมีการเฉลิมฉลองชัยชนะ ด้วยการขับร้องและร่ายรำกันในหมู่สกที่เขาเรียกว่า " ซุมบ้านสก " ใกล้ ๆ กับชุมทางรถไฟ ถนนจิระและเริ่มเล่นเพลงโคราชกันที่หมู่บ้านนี้ ท่าทางการรำรุกรำถอย และการป้องหู มีผู้สันนิษฐานว่าประยุกต์มาจากการเล่นเจรียง ที่เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวสุรินทร์ผสมผสาน กับเพลงทรงเครื่องของภาคกลาง
ผู้เขียน : ด.ญ. เพ็ญแข หวังปรุงกลาง ม.3/2 โรงเรียนขามสะแกแสง จ.นครราชสีมา
นิสัยของช้าง ช้างเอเชียรวมทั้งช้างไทยเป็นสัตว์ที่ฉลาด นอกจากนี้ยังมีความสุภาพ สะอาด มีความจำดี รักเจ้าของ อดทนและจำกลิ่นที่เคยชินได้ สังเกตได้จากพฤติกรรมที่ช้างจะใช้เท้าลองเหยียบเพื่อหยั่งดูว่า พื้นดินบริเวณใดอ่อนทานน้ำหนักตัวไม่ได้ ช้างจะเลี่ยงไม่เหยียบพื้นดินบริเวณนั้น ช้างจะดุร้ายเฉพาะตอนที่ตกมันเท่านั้น ซึ่งจะจำใครไม่ได้แม้แต่คนเลี้ยง
อาหารของช้าง ช้างเป็นสัตว์ไม่กินเนื้อ อาหารส่วนใหญ่ได้แก่ต้นไม้ใบหญ้า ช้างกินอาหารคิดเป็นน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัมต่อวัน อาหารของช้างได้แก่
- หญ้า มีหญ้าหลายชนิดที่ช้างชอบ เช่น หญ้าคา อ้อ หญ้าแพรก หญ้าปล้อง หญ้าปากควาย
- ไม้ไผ่ เช่น หน่อไม้ และยอดอ่อนของไผ่ป่า ไม่รวก ไผ่ข้าวหลาม
- เถาวัลย์ เช่น บอดระเพ็ด ส้มป่อย และเถาวัลย์แดง
- ไม้ยืนต้น ช้างชอบกินทั้งเปลือก ใบ และผล เช่น กล้วย อ้อย ขนุน ไทร สัก มะพร้าว มะขาม มะขวิด
- พืชไร่ เช่น ข้าวโพด สับปะรด ฟัก แตงโม มะละกอ
- ดินโป่ง ช้างจะกินดินโป่งเป็นบางเวลา ดินโป่งประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปแตสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม
ช้างป่าชอบกินผลไม้สุก
ข้อมูลที่ได้ได้มาจาก :
http://www.kanchanapisek.or.th/kp4/book244/elephant.html
เด็กหญิง เพ็ญแข หวังปรุงกลาง
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2
นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง