Thursday, February 21, 2008

หมีขาวขั้วโลกเหนือและแพนกวินแห่งขั้วโลกใต้ ในชตากรรมเดียวกัน

หมีขาวขั้วโลกเหนือและเพนกวินแห่งขั้วโลกใต้…ในชะตากรรมเดียวกัน
กุมภาพันธ์ 14, 2007 ที่ 11:55 pm · Filed under ถึงโลกใบนี้ : to the planet, โลกร้อน-global warming

เมื่อเย็นที่ผ่านมาเรานั่งตัวเล็กลีบอยู่ในโถงชั้น ๑ ของ British Council สยามสแควร์ที่นั่นมีงานเสวนา @ the bar ในหัวข้อ To the End of the Climate: Climate Change and the Arctic –ช่างเป็นประเด็นที่ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับบรรยากาศหวานชื่นของวันวาเลนไทน์ที่อบอวลอยู่รอบๆ โดยแท้
รู้สึก “เล็กลีบ” เพราะมันเป็นงานเสวนาที่พูดคุยด้วยภาษาอังกฤษทั้งหมดซึ่งเราก็ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ตามประสาคนหัวดำที่เรียนภาษาอังกฤษจากระบบการศึกษาของไทยล้วนๆ แต่เอาเหอะ…ถือซะว่าเปิดกะลาของตัวเองสำคัญกว่านั้น…มันเกี่ยวกับโปรเจ็คที่กำลังวาดฝันอยู่ด้วย


อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักกับ Cape Farewell โครงการปลุกเร้าจิตสำนึกเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการพานักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน และครูอาจารย์ ล่องเรือไปยังขั้วโลกเหนือให้รับรู้ว่า การเพิ่มขึ้นของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อเราอย่างไรบ้างข้อมูลจากประสบการณ์ตรงเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจชั้นเยี่ยมในการใช้บทบาทหน้าที่ของตนเองส่งผ่านเรื่องราวไปยังคนรอบข้าง
Mr.Quentin Cooper หนึ่งในผู้ที่มีประสบการณ์สุดเจ๋งจากการร่วมเดินทางไปยังขั้วโลกเหนือเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังมากมายเรารับรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่า การเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิชั้นบรรยากาศโลกกำลังทำให้หมีขั้วโลกตัวโตที่มีขนขาวหนาต้องเดือดร้อนแน่นอนว่า…การเพิ่มสูงขึ้นนี้เป็นผลพวงจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์



หมีขาวใช้ชีวิตอยู่ที่ขั้วโลกเหนืออย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่า…พื้นที่หากินของมันหดแคบลง โลกที่ร้อนขึ้นทำให้แผ่นน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อยๆโดยธรรมชาติแล้วพวกมันไม่สามารถว่ายน้ำได้ต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนจึงจำเป็นต้องแวะพักเหนื่อยตามแผ่นน้ำแข็งที่ลอยอยู่กระจัดกระจายแผ่นน้ำแข็งที่เหลือน้อย ทำให้พวกมันใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก…ถ้าแผ่นน้ำแข็งละลายหมดเกลี้ยง หมีขาวจะอยู่รอดได้อย่างไร…
source: http://www.capefarewell.com/


แต่ข้อมูลใหม่ที่เราเพิ่งรู้จากปากของ Mr. Cooper ก็คือขยะจำพวกพลาสติกที่ถูกทิ้งลงทะเล มันแตกสลายเป็นละอองพลาสติกตามวันเวลาและเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ส่งต่อไปยังนักล่าที่ยืนอยู่บนสุดของพีระมิดปลาตัวเล็ก—> ปลาตัวใหญ่—> สิงโตทะเล แมวน้ำ—> หมีขาวหมีขาวรับสารแปลกปลอมอย่างพลาสติกเข้าสู่ร่างกายผ่านการกินตามลำดับขั้นกระทั่งทำให้หมีขาวจำนวนไม่น้อยมีสองเพศในตัวเดียว!!!
บางห้วงจังหวะที่จับใจความจากภาษาต่างด้าวไม่ได้เราครุ่นคิดถึงคาราวานเพนกวินที่ขั้วโลกใต้พวกมันก็โดนสภาวะโลกร้อนเล่นงานหนักไม่แพ้หมีขาวใครที่ดูรายการปฐพีชีวิตทางช่อง ๙ เมื่อปลายเดือนมกราคมหรือเคยชมภาพยนตร์สารคดี “The March of Penguins”ที่มีนกเพนกวินจักรพรรดินับร้อยนับพันเป็นนักแสดงคงพอนึกออกถึงการอยู่รอดในสภาพอากาศที่โหดร้าย(ถ้ายังไม่ได้ดู และอยากหา DVD เรื่องนี้มาดูด้วยตนเอง ขอให้หยุดอ่านที่บรรทัดนี้เพราะข้อเขียนส่วนต่อไปมีการเปิดเผยถึงเนื้อหาของภาพยนตร์)
เพนกวินจักรพรรดิเป็นสายพันธุ์เพนกวินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแต่ตัวโตไม่ได้หมายความว่าจะอยู่รอดในธรรมชาติได้ง่ายดายตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง พวกมันต้องฝ่าฟันอุปสรรคยากเข็ญนานัปการ


เรื่องราวธรรมชาตินี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเป็นเวลาหลายพันปีแต่มนุษย์เพิ่งค้นพบความอัศจรรย์นี้เมื่อต้นศตวรษที่ ๒๐และภาพยนตร์ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ๖ ปีที่แล้วก็ถ่ายทอดเหตุการณ์ที่มีส่วนผสมของความรัก ความน่าทึ่ง กำลังใจ ความกล้าหาญ และการผจญภัยของเหล่าพ่อแม่เพนกวินได้อย่างลงตัวโดยให้ทีมงานถ่ายทำ ๔ คนเข้าไปฝังตัวอยู่ที่แอนตาร์กติกนาน ๑๔ เดือน !!!

เมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลงและฤดูหนาวกำลังจะเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์เพนกวินจักพรรดิจากทุกสารทิศจะว่ายน้ำมายังขั้วโลกใต้…บ้านเกิดของพวกมัน…ต้นเดือนมีนาคม สัญชาตญาณสั่งให้พวกมันละทิ้งทะเลและพุ่งตัวผ่านรอยแยกของน้ำแข็งขึ้นมาเพื่อออกเดินทางครั้งใหญ่จากสุดขอบทะเลน้ำแข็งเข้าสู่แผ่นดินตอนใน หรือ “โอเอม็อก” (Oamok)–ดินแดนที่เหมาะต่อการผสมพันธุ์–ฤดูหนาวที่นั่นอุณหภูมิลดต่ำเสียจนไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดเข้ามารบกวนการฟักไข่อีกทั้งพื้นน้ำแข็งก็หนาพอที่จะไม่แยกเป็นส่วนๆ ในวันเริ่มต้นของฤดูร้อนซึ่งลูกเพนกวินยังเล็กอยู่
คาราวานเพนกวินเดินบ้าง ไถตัวไปบนพื้นน้ำแข็งบ้าง รวมระยะทางกว่า ๒๐๐ กิโลเมตรแต่ละย่างก้าวเล็กๆ มุ่งสู่สมรภูมิที่ต้องต่อสู้กับความหนาวระดับ -๖๕ องศาเซลเซียสด้วยเหตุที่ภูมิประเทศขาวโพลนกว้างโล่งไม่มีตำแหน่งอ้างอิงใดๆดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว จึงเป็นเข็มทิศสำคัญสำหรับสัตว์ปีกหุ่นอ้วนกลมแม้เนินน้ำแข็งจะเปลี่ยนแปลงทุกปี พวกมันยังสามารถเดินไปถึงจุดหมายเดิมได้อย่างแม่นยำ
หลังจากฝูงเพนกวินรวมตัวพร้อมหน้า มันจะเปล่งเสียงร้องหาคู่เมื่อเจอแล้วเพนกวินสองตัวจะยืนนิ่งอยู่เคียงกันน่าแปลกว่าท่ามกลางการเปล่งเสียงอันอลหม่านนั้นเพนกวินสามารถจดจำเสียงของคู่ตัวเองได้ถูกต้อง
source: http://wip.warnerbros.com/marchofthepenguins/


และเนื่องจากจำนวนเพนกวินตัวผู้นั้นน้อยกว่าตัวเมียช่วงแรกของการจับคู่จึงเกิดศึกชิงหนุ่มบ้างแต่สุดท้ายแล้วตัวเมียที่ไร้คู่จะต้องเดินกลับไปสู่ทะเลไม่มีประโยชน์ที่จะสู้กับฤดูหนาวอันโหดร้ายโดยไม่มีชีวิตของเพนกวินน้อยเป็นสิ่งตอบแทน
ค่ำคืนฮันนีมูนผ่านไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคมแม่เพนกวินจะออกไข่เพียง ๑ ฟอง และซ่อนมันไว้ในช่องว่างใต้พุง–กระเป๋าหน้าท้องที่คอยสร้างความอบอุ่นให้ไข่—นาฬิกาของชีวิตใหม่เริ่มต้นแล้ว
ความระทึกใจมาถึงเมื่อแม่เพนกวินต้องส่งมอบไข่ให้พ่อเพนกวินรับผิดชอบมันไม่มีนิ้วที่จะหยิบจับได้อย่างง่ายดาย ฟองไข่ก็แสนบอบบาง พื้นน้ำแข็งก็ไม่ราบเรียบอีกทั้งความหนาวเย็นยังคอยจ้องปลิดชีวิตน้อยๆ ขั้นตอนนี้จึงต้องรวดเร็วและแม่นยำแม่เพนกวินปล่อยไข่ลงบนพื้นพร้อมกับเดินถอยห่างออกมาพ่อเพนกวินต้องใช้จงอยปากดันไข่ให้ขึ้นมาอยู่บนหลังเท้าของตนช้าแม้เพียงเสี้ยวนาทีอุณหภูมิพื้นน้ำแข็งจะถ่ายทอดสู่ไข่จนแข็งตัวและแตกร้าว


หลังการส่งมอบไข่ แม่เพนกวินจะมุ่งหน้าสู่ทะเลใช้เวลา ๒-๓ สัปดาห์ในการเพิ่มพลังงานให้ตนเองและกักตุนอาหารมาป้อนลูกน้อยขณะที่พ่อเพนกวินต้องยืนรักษาไข่ไว้ใต้พุงเหนือหลังเท้าประมาณ ๖๐ วันจนกว่าไข่จะฟักเป็นตัวที่ยากกว่านั้นคือทุกตัวต้องร่วมกันฝ่าพายุหิมะที่ร้ายกาจไปให้ได้พร้อมกับรักษาชีวิตน้อยๆพวกมันยืนเบียดต้านทานลมที่พัดแรงเร็วประมาณ ๑๖๑-๒๔๑ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แม่ที่กินอิ่มต้องรีบเดินทางกลับมายังโอเอม็อกภายใน ๔๘ ชั่วโมงหลังจากที่ลูกเพนกวินเกิดเจ้าตัวเล็กมีพลังงานสะสมน้อยและอ่อนแอเหลือเกินถ้าช้า…พ่อเพนกวินซึ่งไม่ได้กินอะไรมานานกว่า ๔ เดือนจะทิ้งลูกและเดินกลับไปยังทะเลก่อนที่ตัวเองจะหมดแรง


source: http://wip.warnerbros.com/marchofthepenguins/
ในทางกลับกันถ้าแม่เพนกวินมาทันเวลาและพ่อลูกรอดพายุหิมะมาได้อย่างปลอดภัยเธอจะมีโอกาสป้อนอาหารมื้อแรกและปล่อยให้พ่อเดินไปสู่ทะเลบ้างสลับกันออกไปหาอาหารมาเลี้ยงลูกจนถึงเวลาที่เจ้าตัวเล็กพร้อมจะสัมผัสน้ำทะเลแรกของชีวิตในช่วงฤดูร้อนเมื่อถึงวันนั้นพ่อและแม่เพนกวินจะแยกจากกันเพื่อรอการสืบทอดสายพันธุ์ที่จะเกิดขึ้นอีกในฤดูหนาวครั้งต่อไป
ส่วนลูกๆ รวมฝูงกันลงทะเลเพื่อเผชิญโลกใหม่ที่น่าตื่นเต้นอีก ๔ ปีข้างหน้าลูกเพนกวินจะโตเต็มวัยและกลับมาปฏิบัติภารกิจอย่างที่พ่อแม่ของมันทำ


ภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นทำให้น้ำแข็งขั้วโลกใต้ละลายเร็วกว่าปกติในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ลูกเพนกวินจักรพรรดิจำนวนมากต้องจบชีวิตลงเพราะยังไม่โตพอที่จะว่ายออกสู่ทะเลในฤดูร้อนที่มาถึงก่อนกำหนด
โศกนาฏกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้ามนุษย์ยังไม่ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง…ลำพังการสร้างชีวิตใหม่ของเพนกวินจักรพรรดิก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้วคุณยังจะใจร้ายซ้ำเติมมันได้ลงคอเชียวหรือ…
แหล่งที่มา
จัดทำโดย
ด.ญ. ศิริพร ใบดั้งกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2
โรงเรียนขามสะแกแสง

1 comment:

Anonymous said...

ซึ้งมากค่ะที่เห็นภารกิจของพ่อแม่นกเพนกวิน ศัตรูลูกนกมากเหลือเกิน

ครู ohsons