Thursday, April 10, 2008

เปิดตำนานพญาครุฑ

ครุฑ เทพพาหนะของพระนารายณ์ เป็นโอรสพระกัศยปมุนี (ฤาษีตนหนึ่งในเจ็ดตนที่เรียกว่า สัปตฤษี หรือพระประชาบดี) และนางวินตาหรือนางทิติธิดาองค์หนึ่งของ พระทักษประชาบดี พระทักษประชาบดีนี้น เป็นโอรสของพระพรหม และเป็นผู้มีภริยามาก มีธิดาถึง 50 องค์ ยกให้เป็นชายาพระยมเสีย 10 องค์ ยกให้ พระจันทร์เสีย 27 องค์ (27 นักษัตร) และยกให้พระกัศยปเสีย 13 องค์ ในจำนวนธิดา 13 องค์นี้ที่เป็นชายาของพระกัศยปมีอยู่สององค์ คือนางวินตามารดาครุฑ และนางกทรูมารดาของพวกพญานาค นางวินตามีโอรสสององค์ คือครุฑและอรุณ ซึ่งต่อมาได้เป็นสารถีของ พระสุริยเทพ เมื่อนางวินตาคลอดครุฑโอรสองค์แรกออกมานั้น เป็นฟองไข่ ครุฑจึงได้มีลักษณะคล้ายนกไป ส่วนนางกทรูมีโอรสพันองค์ ล้วนเป็นพญานาคทั้งนั้น
ครุฑ เมื่อแรกเกิด ร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกที่ใดบรรดาขุนเขา ก็ตกใจต้องปลาดหนีไปพร้อมกับพระพาย รัศมีที่พวยพุ่ง ออกจากกาย มีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วทั่วสี่ทิศ กระทำให้ทวยเทพ ต้องตกใจสำคัญว่าเป็นพระอัคนี ต่างพากันมาบูชาครุฑ เพื่อขอความคุ้มครองจากครุฑ อีกตำราหนึ่งว่าครุฑนั้นมีรูปร่าง และลักษณะดังนี้ เศียรจงอยปากปีและเล็บเป็นอย่างนกอินทรี ท่อนกายตัวและแขนขาเป็นอย่างคน หน้าเป็นสีขาว ปีเป็นสีแดง (ของ จีนว่าปีกทอง) กายตัวเป็นสีทอง มีโอรสชื่อสัมปาติ (สัมพาที) และชฎายุ (แต่บางตำราว่า สัมปาติและชฎายุเป็นโอรสของพระอรุณ) มีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา

ครุฑ เป็นศัตรูกับพญานาคอย่างรุนแรง เหตุเกิดขึ้นเพราะนางวินตามารดาครุฑทะเลาะกันขึ้น กับนางกทรูมารดาพวกพญานาค ด้วยเรื่องเถียงและพนันกันว่าสีม้าที่เกิดขึ้น เมื่อคราวทวยเทพ และอสูรกวนน้ำอมฤตนั้นเป็นสีอะไร นับแต่นั้นมาครุฑและพวกพญานาคก็ไม่ถูกกันต่างพยาบาท มาดร้ายกันอยู่ คราวเมื่อครุฑแต่งงาน พวกพญานาค เกรงว่าถ้าครุฑมีผู้สืบเชื้อสาย เมื่อใด ก็จะเป็นภัยแก่พวกพญานาคและพวกลูกหลานของตน จึงยกพวกหวังไปสังหารครุฑแต่ถูกครุฑ ฆ่าพวกพญานาคตายเกือบหมด คงเหลือรอดชีวิตอยู่เพียงตัวเดียว ซึ่งครุฑเอามาคล้องคอ เป็นสังวาล ชาวฮินดูที่ถือความขลังความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจะเข้านอนมักออกชื่อครุฑ เป็นอย่างบริกรรมมนต์ ว่าถ้าทำอย่างนั้นจะพ้นภัยจากงูอสรพิษกัด
ครุฑ มีชื่อเรียกอยู่มากมายหลายชื่อ เช่น กาศยปิและเวนไตย อันเป็นชื่อสืบมาจากกัศยปและวินตา สุบรรณและครุฑมาน คือเจ้าแห่งนก สิตามันมีหน้าขาว รักตปักษ์ มีปีกแดง เศวตโรหิต มีสีขาวและแดง สุวรรณกาย กายมีสีทอง คคเนศวร เป็นเจ้าแห่งอากาศ ขเคศวร ผู้เป็นใหญ่แห่งนก นาคานตกและนาคนาศนะศัตรูแห่งนาค สรรปาราติ ศัตรูแห่งงู ตรสวิน ผู้เคลื่อนไปเร็ว รสายนะ ผู้เคลื่อนไปอย่างปรอท กามจารินผู้ไปตามอำเภอใจ กามายุส ผู้อยู่ด้วยความยินดีแห่งกาม จิราท ผู้กินนาน อมฤตาหรณ์และสุธาหร ผู้ลักน้ำ อมฤต สุเรนทรชิต ผู้ชนะพระอินทร์ วัชรชิต ผู้ปราบชนะสายฟ้า
รูปครุฑเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์ ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เนื่องจากเป็นความเชื่อในลัทธิสมมุติเทวราช ที่ถือว่ากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ที่ลงมาปกครองบ้านเมือง และเมื่อพระนารายณ์มีครุฑเป็นพาหนะของพระองค์ ครุฑจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญไปด้วย การใช้รูปครุฑเป็นตราแผ่นดินและเครื่องหมายของทางราชการ กำหนดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้รูป ครุฑรำ หรือเรียกว่า พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ นอกจากนี้ ยังใช้ตราครุฑเป็นตราหัวกระดาษของหนังสือ หรือแบบฟอร์มในราชการอีกด้วย สำหรับภาคธุรกิจเอกชนที่มีเครื่องหมายครุฑพ่าห์ประดับอาคารได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติ จึงจะได้รับพระราชทานตราตั้ง หรือหนังสือรับรองการพระราชทานพระบรมราชานุญาต มีคำว่า "โดยได้รับพระบรมราชานุญาต" อยู่เบื้องล่างของตราครุฑนั้น เพื่อแสดงว่า เป็นผู้ได้รับพระราชทานให้ใช้ตราแผ่นดินในกิจการได้

ร่วมเปิดตำนานพญาครุฑโดย
ผู้เขียนบล็อก
น.ส.เพ็ญแข หวังปรุงกลาง
นักเรียนโรงเรียนขามสะแกแสง
ครูผู้สอนเขียนบล็อก
ครู เพียรผจง เนตระกูล



No comments: